วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อะไรเอ่ย

ได้ข้อคิดดีๆ จากน้องที่ทำงานเกี่ยวกับเกมทายปัญหา "อะไรเอ่ย"
เชื่อว่าทุกท่านคงต้องเคยเล่นแน่นอน
แต่เคยสังเกตรึเปล่าครับว่าเกมนี้สามารถเล่นได้ทุกวัย ทุกวัน ทุกเวลา
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือเจตนาในการเล่นที่เปลี่ยนไปตามวัยครับ
เมื่อเราเด็กๆ หรือลองสังเกตดูเวลาพวกเด็กตัวน้อยๆ เล่น "อะไรเอ่ย" ดูสิครับ
กับเมื่อเราโตขึ้น รู้สึกอะไรที่เปลี่ยนไปไหม
ไม่ใช่เรื่องของคำถามที่ยากขึ้นหรอกครับ
แต่เป็นเรื่องของความตื่นเต้นที่ต้องการให้คนที่เล่นกับเราตอบได้ต่างหาก
เด็กๆ นั้น เล่น  "อะไรเอ่ย" เพื่อให้เพื่อนตอบได้ ใบ้ให้จนแทบขาดใจ ลุ้นตัวโก่ง และดีใจสุดๆ เมื่อเพื่อนตอบ
แต่เมื่อโตขึ้น นอกจากต้องคอยหาคำถามที่ยากแล้ว ความสนุกในวัยเด็กก็หายไปด้วย
กลายเป็นความดีใจในการถามแล้วคนอื่นตอบไม่ได้ เป็นเรื่องของชัยชนะ กับรอยยิ้มแห่งการอยู่เหนือผู้อื่นไปซะแล้ว
อะไรที่ทำให้เป็นอย่างนี้เอ่ย?
อันนี้ผมถามแบบเด็กๆ นะครับ ให้ลองคิดกันดูเพราะเชื่อว่าแต่ละคนคงมีคำตอบไม่เหมือนกัน :D

 

question_mark_tshirt-p235683759807153754zvkgh_400

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กิจกรรมสอนเด็ก

วันนี้ผมได้ฟังเรื่องน่ารักเรื่องหนึ่งจากพี่ที่ทำงานครับ

เขาได้พาลูกไปแข่งกีฬาสีที่โรงเรียน แข่งวิ่งพลัดประเภททีม

ผลปรากฎว่า ได้ที่ 4 จาก ทั้งหมด 6 ทีม

ในขณะที่ประกาศผลและรับรางวัล ลูกตัวน้อยได้สะกิดเขา แล้วถามว่า เมื่อไหร่จะถึงคิวตัวเขาขึ้นไปรับรางวัล

พี่เขาเองอึ้งไปพักใหญ่ครับ เพราะต้องหาเหตุผล อธิบายให้ลูกฟัง ถึงรางวัลที่มีไว้ให้อันดับ 1-3 ส่วนที่เหลือก็จะไม่ได้

ผมได้ฟังแล้วก็คิดถึงสมัยผมเด็กๆ ครับ ผมเล่นบอลตั้งแต่จำความได้ ติดตัวโรงเรียนตั้งแต่สมัยประถม แพ้กับชนะ มักมาสลับกันเสมอ

ที่บ้านผมเลี้ยงปลา หมา แมว นก เลี้ยงไป ตายบ้างรอดบ้าง ทั้งที่เราพยายามดูแลอย่างดี

ผมว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นบทเรียนที่ดีมากสำหรับเด็กครับ ได้เรียนรู้การแพ้ชนะ ได้เรียนรู้การสูญเสียเมื่อเจ้าหมาตัวโปรดตาย

สิ่งเหล่านี้ผมเชื่อว่า มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆ แกร่งขึ้นทีละนิด

รู้จักฝึกมากขึ้น ถ้าอยากจะหนีบรรยากาศการพ่ายแพ้

รู้จักรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ที่เรารับผิดชอบ ถึงแม้จะเป็นแค่ปลาหางนกยูงตัวเล็กๆ

สุดท้ายผมถามพี่เขาครับว่า แล้วตกลงพี่สอนลูกไปว่าอย่างไร เผื่อในอนาคตผมจะได้เอาไว้ใช้บ้าง

เขาคิดสักพัก แล้วตอบว่า

พี่จำไม่ได้แล้วว่ะ 555

แต่ผมเชื่อว่าคงเป็นคำตอบที่ดีในฐานะพ่อแน่ๆ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ

เพราะทั้งพ่อและลูกตัวน้อยๆ ยังคงเล่นกีฬาด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเสมอครับ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปลี่ยนคำถาม

ตั้งแต่ผลการเลือกตั้งออกมา สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นคือสื่อและรายการต่างๆ ในหลายๆ ช่อง

พยายามออกข่าว สัมภาษณ์ ผู้ที่ทุกคนให้ความเห็นว่า เป็นตัวแปรสำคัญในการปรองดอง

นั่นคือ อดีตนายกทักษิณ

มีการแข่งกันทำข่าวตั้งแต่สัมภาษณ์แสดงความยินดีกับผลเลือกตั้ง ต่อสายให้พูดคุยกับน้องสาว

มีเยอะจนบางคนบอกว่า ตกลงใครได้เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งกันแน่

บางท่านก็บอกว่า สื่อเก่งมากขนาดหนีคดีไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ยังตามเจอได้สบาย

บางคนรู้สึกเฉยๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่า มันจะออกมาเป็นรูปแบบนี้

จนมาถึงวันนี้ ผมได้มีโอกาสดูรายการหนึ่งมีการสัมภาษณ์เหมือนที่ทำกันมา

เลยเริ่มนึกขึ้นมาได้ว่า ทำไมสื่อถึงถามอะไรที่มันเป็นการสร้างคำตอบเดิมๆ

เช่น ได้ข่าวว่าเสียสละในการไม่กลับประเทศ?

ได้ข่าวว่าอาจจะไม่กลับมางานแต่งลูก?

แล้วก็ให้พูดถึงอนาคตประเทศชาติและอยากให้คนจดจำในฐานะอะไร?

คำตอบที่พอจะสรุปได้คือ

ไม่กลับประเทศก็ได้ถ้ามีปัญหา และถึงแม้อยากจะมาแสดงความยินดีกับลูกมากขนาดไหน

แต่เพื่อส่วนรวม ก็พร้อมทำให้

ส่วนอนาคตอยากให้ทุกคนลืมอดีตและก้าวไปข้างหน้า

ตัวเองประสบความสำเร็จแล้วต่อไปขอทำประโยชน์แก่ประชาชนที่ลำบาก

อยากให้คนจดจำเขาไว้ในฐานะคนที่ไม่ทิ้งประชาชนยากจน คนที่รักประเทศ คนที่เคารพในหลวง

........ผมไม่ขอพูดถึงคำตอบ เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความคิดเห็นอยู่ในใจเป็นของตัวเอง....

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะให้สื่อได้ลองทำบ้าง คือ การเปลี่ยนคำถาม เหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้น

อยากเห็นสื่อถามในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย อยากเห็นสื่อที่ถามในสิ่งที่สื่ออยากรู้คำตอบเช่นกัน

อย่าลืมว่าคุณเป็นสื่อ เป็นนักข่าว ไม่ใช่แค่คนรับจ้างถือไมค์ แล้วรับเงินกลับบ้าน

ตอนนี้มีสถานะเป็นบุคคลกระทำผิด มีคดี มีความคิดอยากกลับไปทำให้ถูกต้องเหมือนประชาชนทั่วไปบ้างไหม เพราะมันอาจเป็นการแสดงความตั้งใจในการสร้างความปรองดองทางหนึ่ง?

ถ้ารักประเทศ ทำไมให้คนเผาบ้านเผาเมือง ในเมื่อคุณมีพลังในการชี้นำ?

ถ้ารักในหลวง ทำไมปล่อยให้ให้มีคนในกลุ่มของคุณลบหลู่ จาบจ้วง สถาบันกษัตริย์?

เชื่อว่าหลายคนไม่อยากฟังคำตอบหรอกครับ แต่อยากฟังคำถามที่หลุดจากปากผู้มีโอกาสถามมากกว่า

ไม่ใช่คอยแต่พูดว่า ท่านอย่างโน่น ท่านอย่างนี้ คุณเรียกคนที่มีคดีติดตัวว่าท่าน

ต่อไปลูกหลานจะแยกไม่ออกนะครับว่า ดี ไม่ดี ถูก ผิด มันต่างกันอย่างไร

มันอวยกันจนน่าเบื่อเกินไปครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ช่างน่าเศร้า

เมื่อครั้งมีอำนาจ ใช้วิธีกำปั้นเหล็กสลายประชาชน 

กรณีตากใบ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ในอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 85คน

ประชาชนท้องถิ่นหลายร้อนคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชายวัยรุ่น ได้ถูกจับกุม กลุ่มคนเหล่านี้ถูกถอดเสื้อ ผูกมือไพล่ติดกับหลัง และถูกจัดท่าให้นอนราบลงกับพื้น

คลิปวิดีโอได้แสดงภาพทหารเตะและทุบตีประชาชนที่ถูกจับมัดไว้เรียบร้อยแล้วและนอนอยู่บนพื้นโดยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้

ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ผู้ที่ถูกจับกุมถูกทหารโยนเข้าไปในรถบรรทุกซึ่งจะนำไปส่งยังค่ายทหารในจังหวัดปัตตานี ผู้ที่ถูกจับกุมนอนทับกันถึงห้าหรือหกชั้นในรถบรรทุก

และเมื่อรถบรรทุกดังกล่าวมาถึงค่ายทหารในอีกสามชั่วโมงถัดมา หลายคนก็เสียชีวิตไปแล้วเนื่องจากขาดอากาศหายใจ รายงานอ้างว่ามีผู้เสียชีวิต 7 คนจากบาดแผลกระสุนปืน

ส่วนที่เหลือเชื่อกันว่าเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจหรือถูกทุบตี

Screen shot 2554-06-30 at 17.12.32 copyScreen shot 2554-06-30 at 17.13.38 copy

 

Screen shot 2554-06-30 at 17.15.40 copyScreen shot 2554-06-30 at 17.23.47 copy

เมื่อครั้งไม่มีอำนาจ

เป็นผู้นำสร้างกลุ่มเสื้อแดงชุมนุมประท้วง

สร้างผู้นำหลายสิบคนชักจูงประชาชนเดินตามไปในแนวทางที่ผิด

นำให้คนเกลียดกัน นำให้คนเห็นแก่เงิน นำให้คนติดอาวุธ นำให้คนทำให้บ้านเกิดเมืองนอนเป็นทะเลเพลิง นำให้ผู้คนดูถูกสถาบันกษัตริย์

Screen shot 2554-06-30 at 17.27.18 copy Screen shot 2554-06-30 at 17.46.12 copy

Screen shot 2554-06-30 at 17.50.18 copyScreen shot 2554-06-30 at 17.52.36 copy

 

วันนี้อย่าพูดอีกเลยว่าจะให้บางพื้นที่ เป็นเขตปกครองพิเศษ......ในเมื่อคุณเองทำให้เขาต้องสูญเสียพี่น้องและเป็นแรงโกรธแค้นจนถึงทุกวันนี้ 

วันนี้อย่าพูดอีกเลยเรื่องฆ่าประชาชน 91 ศพ.....ทุกคนทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่ต้องสูญเสีย แต่คุณหลอกใช้พวกเขาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น

อย่าดูถูกประชาชนอีกเลย อย่าใช้ความไม่รู้ของคนส่วนใหญ่มาสร้างอำนาจกดขี่ข่มเหงกลุ่มคนที่รู้ทัน

วันนี้อย่าพูดอีกเลยว่า ให้ลืมอดีต ข้ามก้าวไปสู่ความปรองดอง.......มันง่ายและเห็นแก่ตัวเกินไป

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เลือกตั้ง

 

ทุกวันนี้งานอดิเรกของผมคือการได้พูดคุยเรื่องการเมืองแบบความรู้ของคนบ้านๆ

ถ้าจะสนุกสุดคือการได้พูดคุยกับคนรู้จักที่เป็นคนเสื้อแดง ผมยังเชื่อว่าคิดแตกต่างได้แต่ไม่แตกแยก ยังคงเป็นคำที่ใช้การได้อยู่เสมอ แต่เมื่อไม่กี่วันนี้รู้สึกเริ่มไม่สบายใจครับ โดยทั่วไปคุยกับเพื่อนพี่น้องสีแดง ถ้าเริ่มเข้าถึงข้อมูลลึกๆ จะได้รับคำตอบว่า ไม่รู้ ไม่ใช่ ไม่คุยแล้ว เป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นไร แต่คราวนี้ไม่เป็นแบบเดิม

พี่คนหนึ่งเริ่มเล่าถึงการทำงานของปชป. ว่า มีการโกงกันน่าดู การถมทรายที่สุวรรณภูมิก็กินค่าทรายกันมหาศาล รถไฟฟ้าก็เอามาเป็นผลงานของตัวเองทั้งๆ ที่คนคิดเป็นของ พท. ตบท้ายด้วยการสลายการชุมนุม การฆ่าประชาชน ผมจึงบอกว่าเรื่องของนโยบายและการทำงานผมไม่ค้านครับ ผมเห็นด้วยว่า ทุกพรรคมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่เว้นแต่ ปชป. เอง ผมเองก็ยังเห็นว่านโยบายบางอย่างยังสู้ พท. ไม่ได้ แต่ผมก็ทิ้งท้ายไว้ว่าผมไม่เห็นด้วยกับ พท. สองประการด้วยกัน คือ หนึ่ง ผู้นำรวมถึงสส. ต้องโทษอาญาและมีปัญหาด้านกฎหมายอยู่ ส่วนที่สอง คือเรื่องของการล้มเจ้า ผมจึงถามกลับไปครับว่ามีความคิดเห็นอย่างไร คำตอบที่ได้คือ เค้าก็ผิดอยู่แต่ก็แค่เรื่องที่ดินให้ครอบครัว แล้วก็เรื่องเงินเรื่องทองของเค้า ไม่เห็นเป็นไร ส่วนเรื่องล้มเจ้าไม่เชื่อ ผมจึงบอกว่าหลักฐานมันเยอะนะ ทั้งสิ่งพิมพ์ที่ทำ วิธีการปฏิบัติตัว รวมถึงคำพูดที่ออกมาจากปาก เขาตอบกลับมาว่า ตัดต่อทั้งนั้น ใส่ความกันทั้งนั้น เมื่อได้รับคำตอบผมจึงจบการสนทนาครับ

คิดไปคิดมาทำให้เห็นภาพว่าเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่เห็นเรื่องการโกงการทำผิดกฎหมายเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว ถ้าการทำผิดนั้นๆ ทำให้พวกเค้าได้รับประโยชน์ ผมอาจไม่ได้ลำบากในการดำรงชีวิตมากๆ เหมือนหลายๆ คน จึงไม่เข้าใจความรู้สึก แต่หลายคนที่ได้พูดคุยด้วยแค่บอกว่าพรรคเสื้อแดงทำให้ถนนบ้านเค้าดีขึ้น (ทั้งๆ ที่มันก็ดีกว่าที่อื่นอยู่แล้ว มีคนลำบากกว่าคุณอีกไม่รู้เท่าไหร่) ผู้นำเค้าจะมีความผิดบ้างก็ไม่เป็นไร

รู้สึกหดหู่ครับ เราเห็นแก่ตัวกันเกินไปรึเปล่า ผมยังยืนยันกับเขาเหมือนเดิมครับว่า ผู้นำรวมถึงสส. ต้องโทษอาญาและมีปัญหาด้านกฎหมายอยู่ เป็นเรื่องสำคัญ กฎหมายมีอำนาจสูงสุดและสำคัญกับการปกครองให้อยู่ร่วมกัน ผู้นำของพวกคุณยังหนีและไม่เคารพ แล้วพวกคุณที่เป็นรากหญ้าจะมีความสำคัญกับพวกเขาตรงไหน เป็นประชาชนที่สำคัญหรือแค่เครื่องมือสร้างอำนาจ ลองคิดดูให้ดี ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยื่นอำนาจของประชาชนเพื่อให้ใครเอาไปใช้ต่อลองกับกฎหมาย

เรื่องของการล้มเจ้าผมขอกล่าวถึงสั้นๆ เพราะต้องระวังในหลายอย่างครับ อย่างแรกเลยผมเชื่อตามเหตุผล หลักฐานและความคิดส่วนตัวว่า มีความคิดเรื่องการล้มเจ้าจริง ถ้าใครไม่เชื่อลองเปิดใจตัวเองตามหาเหตุและดูผลที่แสดงตามสื่อต่างๆ หรือไม่ก็ข้ามในส่วนนี้ไปเลยไม่ต้องอ่านต่อครับ

เชื่อว่าหลายคนมีคำตอบของการรักและเคารพต่อสถาบันกษัตริย์อยู่ในใจ ผมเป็นประชาชนทั่วไปครับ ยังไม่เคยได้เข้าเฝ้า หรือมีโอกาสไปร่วมพิธีสำคัญต่างๆ ที่บ้านมีรูปในหลวงตั้งแต่เกิด หลายคนบอกว่าผมถูกมอมเมา ถูกให้ฟังเพลงชาติเช้าเย็น ต้องการล้มเจ้าเพื่อให้ประเทศเจริญ ตามยุคสมัยที่ก้าวกระโดด ความคิดความอ่านบางอย่างมันตกยุคไปแล้ว

ยิ่งเห็นคนต้องการล้มเจ้าเท่าไหร่ กลับทำให้ผมรู้สึกรักมากขึ้นเท่านั้น ผมเชื่อว่าการก้าวกระโดดตามเทคโนโลยีต้องดูคนและประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ดูผลกำไรและสร้างอำนาจของตัวเอง ผมเชื่อว่าประเทศไทยไม่ต้องรีบร้อนรวยครับ ค่อยๆ ก้าวอย่างมั่นใจดีกว่า ผมไม่เข้าใจว่าหลายคนที่บ้านมีรูปในหลวง แต่กลับไปโบกธงทรงพระเจริญให้ผู้อื่น ไปโห่ร้องยินดีเมื่อมีผู้นำที่ต้องการล้มเจ้า คนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง อยากให้ลองหยุดคิด และดูว่าตัวเองทำอะไรอยู่

สถาบันกษัตริย์ทำให้เรามีประเทศไทย ประเทศที่สมบูรณ์ในหลายๆ ด้าน ทำให้เราเป็นคนไทย มีบุญคุณกับครอบครัวพวกเรามาตั้งแต่บรรพบุรุษ เราไม่ใช่เพียงอาศัยอยู่บนประเทศนี้อย่างสุขสบาย แต่เรากำลังใช้ทรัพยากรที่มีเพื่อความสุขส่วนตัว เรายังไม่เคยคิดจะตอบแทนประเทศแล้ว ยังกลับคิดจะทำร้ายสถาบันกษัตริย์อีก มันถูกต้องรึเปล่า แล้วผู้นำที่ต้องการล้มเจ้ามีความดีกับพวกคุณมากหรือน้อยเพียงไร ต้องถามตัวเองดู ส่วนผมคิดว่าต่อให้เป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน ของผม ผมก็ยังคิดภาพไม่ออกว่าจะทำความดีอะไรเพื่อทดแทนบุญคุณได้หมด ผมจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับผู้ที่มีแนวคิดล้มเจ้านี้ครับ

ถึงเวลานี้ถ้าใครถามว่าจะเลือกใคร ผมก็ตอบอยู่เสมอครับว่า ผมไม่เลือกพรรคที่ติดปัญหาสองข้อที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาสำหรับผม ถึงแม้ว่าจะมีคนเก่งอยู่บ้างก็ตาม เสียดายครับ และถ้าจะเลือกพรรคย่อยที่น่าสนใจก็คงต้องดูว่าเป็นพรรคย่อยจริงหรือเป็นพรรคย่อยเพื่อพรรคใหญ่ จะเลือกกลุ่มคนที่เข้าไปทำงาน ถึงแม้ว่านโยบายบางอย่างอาจยังไม่ดีนัก ผมเชื่อว่ายังมีหนทางเข้าไปแก้ไขให้มันดีขึ้น ซึ่งง่ายกว่าการเข้าไปเปลี่ยนบุคคลที่ขนาดกฎหมายยังไม่มีความสำคัญกับพวกเขาครับ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

I & Me

ได้ความรู้จากครูมาหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจ และชอบมากครับ

เป็นเรื่องระหว่าง I & Me

I คือ ฉัน Me คือ ฉัน ใครที่เก่งหรือมีความชำนาญเรื่องภาษาอังกฤษคงเข้าใจนะครับ

ว่ามันต่างกันอย่างไร และรู้ว่าเวลาไหนควรใช้ I หรือ Me

แต่เรื่องที่ผมจะขอนำมากล่าวคือ ไอ้คำว่า “ฉัน” ซึ่งเป็นคำแปลทั้งสองคำมันต่างกันยังไง

เขาว่ากันว่า I คือตัวตนของเราที่ประกอบขึ้นมาด้วย ความคิด,ความเชื่อ+ทัศนคติ+ค่านิยม

แต่หลังจากที่ I ก้าวออกจากประตูบ้าน ไปเจอกับกระจกสะท้อนสังคม

I จะกลับมาที่บ้านและเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้กับตนเอง

และเดินออกจากบ้านไปใหม่ พร้อมกับเปลี่ยนความเป็น I กลายเป็น Me

และเชื่อมั่น ภูมิใจกับความเป็น Me

ถ้าใครไม่เข้าใจ ให้คิดภาพตามง่ายๆ ดังนี้

นาย ก แต่งตัวเดินออกจากบ้าน ไปเจอ นาย ข, ค, ง หรือนาง จ

ได้รับคำติโน่นนี้นั่น ไอ้นั้นไม่ดี ไอ้นี่ไม่เอา

ครั้งต่อไปนาย ก จะเปลี่ยนความคิด,ความเชื่อ+ทัศนคติ+ค่านิยม จากเดิม

ให้กลายเป็น ความคิด,ความเชื่อ+ทัศนคติ+ค่านิยม ใหม่ที่นาย ข, ค, ง หรือนาง จ

ยอมรับ

I ก = Me ก

กระจกสะท้อนจากสังคมสามารถทำให้ผู้คนที่อ่อนแอกับความคิดตัวเอง

สามารถเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งได้ และเชื่อว่านี่แหละคือตัวเรา

น่ากลัวนะครับ สำหรับคนหลายๆ คนที่เปลี่ยนไปแบบไม่ทันรู้ตัว

หลายคนกลัวที่จะใส่รองเท้าแตะ ขาสั้นไปเดินห้าง หรือขึ้นเครื่องบิน

หลายคนต้องยืมเงินคนอื่นไปซื้อโทรศัพท์บางยี่ห้อเพื่อมีให้เหมือนเพื่อน

หลายคนเวลาซื้อรถสิ่งที่คำนึงถึงอย่างแรกกลับเป็นสายตาที่คนอื่นมองรถเราแทนที่จะเป็นลักษณะของรถที่จะตอบสนองชีวิตเรา

หลายคนไว้ผมยาวใส่ผ้าใบเพราะอยากให้คนดูว่าเราเป็นคนแบบเซอร์ๆ แต่ชีวิตไม่ได้ใกล้เคียง

ผมเชื่อว่าใครก็สามารถเปลี่ยนจาก I เป็น Me ได้ครับ

แต่ขออย่างเดียว คุณต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง

และอย่าเดินไปในสังคมเพื่อให้ตัวเองดูดีแค่ในกระจกนะครับ