วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รับปริญญา+ถ่ายภาพ

มีโอกาสไปแสดงความยินดีกับเพื่อนๆ ที่ได้รับปริญญามา บางงานก็ไปร่วมยินดี บางงานก็ไปช่วยถ่ายภาพบ้าง จึงมีเวลานั่งดูบรรยากาศของงานรับปริญญาค่อนข้างบ่อย ก่อนถึงวันงานหลายๆ คนมักวุ่นวายใจกับการหาช่างภาพไปถ่ายให้ เพราะอยากได้ภาพที่สวยๆ ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต บางคนรู้สึกเฉยๆ ให้พี่ให้น้องถ่ายให้ก็ได้ เพราะรับมาตั้งแต่ ป.ตรี ป.โท จน ป.เอก ไม่ว่าจะใช้เหตุผลอันไหนถือว่าไม่ถูกไม่ผิดครับ บางคนถ่ายเป็นพันๆ รูป บางคนใช้มือถือถ่ายเองกับคนที่อยากถ่ายสิบยี่สิบรูปก็พอใจแล้ว ผมนั่งมองไปมองมารอเวลาเพื่อนออกมาจากพิธี อดขำไม่ได้ว่าตอนตัวเองรับงานถ่ายรูปปริญญาชิ้นแรกผลงานออกมาเป็นอย่างไร จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับงานเป็นจริงเป็นจัง เพราะยังไม่เก่งสักที แต่ผมว่าการถ่ายรูปงานต่างๆ มันให้อะไรกับเราเยอะมาก ยิ่งถ้าเราเป็นแค่หน้าใหม่ที่กำลังอยากเป็นมืออาชีพ การได้ฝึกฝีมือ ได้เห็นการทำงานของคนที่เก่งๆ ได้นั่งคุยกับช่างภาพคนอื่น ยิ่งถ้ารูปที่เราถ่ายนั้นมีสวยถูกใจลูกค้าบ้างก็ใจชื่นขึ้นมามากโขแล้ว

ตรงนี้ผมว่าโอกาสเป็นเรื่องสำคัญ

สมมติถ้าคุณอยากได้ภาพสวยๆ เพราะมันเป็นส่วนสำคัญในชีวิตและสร้างความสุข การจ้างช่างภาพระดับกลางถึงมืออาชีพ 4,000-10,000 บาท คงไม่ใช่ปัญหา

แต่ถ้าใครที่ไม่ได้แคร์กับรูปอะไรมากมาย ซึ่งอาจมีเหตุผลอะไรก็แล้วแต่

ลองคิดดูครับ 4,000 บาทนี้ สามารถสร้างโอกาสให้มือใหม่ๆ ได้ถึง 3-4 คนเชียว

อย่างตัวผมเองชอบถ่ายคนอื่น แต่ไม่ชอบให้คนอื่นถ่ายเรา เพราะรู้สึกเรามันไม่ขึ้นกล้องและก็ทำท่าอยู่ไม่เกิน 2-3 ท่าอีกต่างหาก

เลยตั้งใจไว้ว่า ถ้าได้รับปริญญาอีกครั้ง และพอมีสตางค์เหลือ จะเอาโอกาสตรงนี้ยื่นให้คนที่ต้องการฝึกและหาเวทีครั้งแรกของเขาอยู่

ผมอาจเดินเป็นดาราเลยก็ได้เพราะมีช่างภาพตามเป็นพรวน

รูปจะมีสวยหรือไม่สวยไม่รู้ เอาให้ดูออก ว่าเป็นงานอะไร มีใครมาบ้าง เดี๋ยวมาตกแต่งนิดหน่อยและอัดซักหนึ่งอัลบั้มติดบ้านไว้ก็พอ ที่เหลือคงเป็นข้อมูลเก็บในคอมหรือดีวีดี

ภาพที่เรามีคงเก่าขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลา และเทคโนโลยีที่เดินไปข้างหน้า

แต่ก็คงเอามาดูได้และประทับใจไม่มีเบื่อ

ส่วนที่เติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับวันเวลา อาจเป็นตากล้องที่ถ่ายไม่ได้เรื่องในวันนั้นก็ได้ :P

 

 

Changmai-Pai2008_100_resize   young-photographer

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Predators สยองสุด ๆ

ถ้ากลับบ้านเร็วเมื่อไหร่ ผมจะแวะดูหนังซักเรื่อง เพื่อความบันเทิงครับ

บังเอิญโชคดีอยู่บ่อย ๆ ที่จะได้บัตรส่วนลดมาประจำ ดูทีไรเสีย 20 บาท คุ้มดี

เดี๋ยวนี้ดูคนเดียวประจำครับ เพราะไม่มีใครว่างมาดูด้วย 555

การดูคนเดียวบางทีผมว่ามันก็ได้ประโยชน์ดี มันมีสมาธิ

ยิ่งผมชอบดูวิธีการเล่าเรื่องของหนัง วิธีการถ่าย และมุมกล้อง ทำให้มีเวลาเก็บรายละเอียดได้เยอะมาก

ล่าสุดเลือกดูเรื่อง Predators เพราะเวลาเหมาะเจาะพอดี ไม่ต้องรอ

ดูไปก็เก็บรายละเอียดไป Predators จะออกมาตอนนาทีที่เท่าไหร่

จะมีปมปัญหาแรกมาตอนไหน แก้ได้แล้ว ปมต่อมาเว้นระยะอีกเท่าไหร่

ผมว่ามันจะสนุกนะครับ ถ้าดูแล้ว ยังได้ความรู้ติดกลับบ้านไปด้วย

แต่ในที่สุด ก็เจอปมปัญหาสำคัญที่สุดจนได้

ไม่ได้อยู่ในหนังหรอกครับ มันเกิดขึ้นข้าง ๆ ผม

ความรู้สึกของคนนั่งคนเดียวจะสัมผัสได้ว่ารอบตัวจะมีคนนั่งเป็นคู่ ๆ เสมอ

ข้างซ้ายมือผมเป็นผู้หญิงครับ ถัดไปเป็นแฟนเค้าครับ (ผมเดาเอาเอง)

น้องผู้หญิงจะมีโทรศัพท์เข้าตลอด ตอนแรกก็เข้าใจครับ ใคร ๆ ก็มีธุระกันได้

แถมเค้าก็ไม่เปิดเสียงให้ดังรบกวน

แต่นาน ๆ เข้าทีนี่เค้ากดโทรศัพท์ตลอดครับ มีหยุดบ้างเป็นช่วง ๆ ช่วงละประมาณ 3 วินาที่

ผมชักเซ็งครับ เพราะแสงจากโทรศัพท์มันสว่างและเจิดจ้าพอสมควร

คิดดูนะครับ คนกำลังอิน ๆ กับหนัง ในโรงกำลังมืด ๆ Predators กำลังจะโผล่

แม่ง สว่างมาเลย เข้าตาเน้น ๆ เซ้งครับ

เลยชำเรืองดูครับว่าทำอะไรกันนัก

ไม่น่าเชื่อครับ คุณผู้หญิงเค้ากำลังนั่งกดส่งข้อความคุยกับเพื่อนผ่านโทรศัพท์

ผมไม่มีอะไรกับโทรศัพท์ประเภทที่กำลังระบาดนี้นะครับ ถึงใครอยากจะมีมัน จนเป็นหนี้เป็นสินก็ตามเถอะ เพราะผู้ที่ใช้ตามจุดประสงค์และมีประโยชน์จริง ๆ ก็มีเยอะ

ผมเดาว่าผู้ชายเค้าคงอยากดู ผู้หญิงคงเฉย ๆ มั่ง เลยกดเล่นตลอด

ผิดหวังมากครับ ขอโทษด้วยนะเจ้า Predators แสงโทรศัพท์มันสว่างมาก เลยไม่ทันเห็นนาย

กลับบ้านผมคิดไตร่ตรองอยู่นานครับ เรื่องโทรศัพท์

และแล้ววันต่อมาผมก็ไปซื้อมาติดตัวไว้บ้างครับ ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก

ผมจะใช้มันเขียนใส่กระดาษ แล้วพับส่งข้อความไปให้บ้าง เพราะพวกนี้ไม่ชอบคุยแบบซึ่งหน้าครับ

ไม่ต้องงงนะครับ เพราะผมซื้อรุ่น 2B มา.........

Predators   BB9000   design_method_equipment2_pincel_2b

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Vuvuzela & jabulani

 

ช่วงนี้ผมนอนตอนตีสามครึ่งประจำเลย เพราะต้องรอดูการถ่ายทอดฟุตบอลโลก

ง่วงนะครับ แต่ก็พลาดไม่ได้ เป็นมหกรรมแบบสี่ปีมีครั้ง คนรักบอลย่อมเข้าใจกันดี

ในฐานะคอบอลขอพูดถึงซักสองเรื่องครับ

หนึ่งเลย vuvuzela ที่คนในสนามเป่าเชียร์กันสนั่นคล้ายเสียงต่อแตกรังน่ะครับ

หลายท่านคงคิดเหมือนกันว่า มันดังและต่อเนื่องกันเกินไป ผมก็ว่าตามนั้นเลย

ได้ข่าวหลายๆ ทีมกำลังขอเจ้าภาพให้ลดเสียงของแตร vuvuzela ลงมาบ้างเพราะสั่งอะไรกันไม่ได้เลย

ในฐานะคนดูจากหน้าจอทีวี ผมรู้สึกว่ามีเป็นสีสันดีอยู่แล้วครับ แต่ไม่ต้องตลอดเวลา

เว้นที่ไว้สำหรับเสียงตะโกนของกองเชียร์บ้าง เสียงผู้เล่นบ้าง

มันเป็นอรรถรสของการแข่งดีครับ

ส่วนเรื่องที่สอง ผมสงสัยประจำเลยครับว่า ทุกครั้งที่มีการแข่งขันรายการใหญ่

ต้องผลิตลูกฟุตบอลออกมาใหม่ตลอด ปีนี้ก็มีเจ้า jabulani-adidas-2010

ไอ้ผลิตน่ะผมเข้าใจแต่ที่ไม่ชอบคือ

แม่งมีปัญหาตลอด ยิ่งทันสมัยยิ่งสร้างปัญหาเสมอ

บอลเบาขึ้น กลมขึ้น อะไรก็ดีขึ้นต่างๆ นานา ตามคำโฆษณา

แต่ผมว่ามันทำให้เกมฟุตบอลมันเล่นยากและไม่สวยงามน่าชมเลย

นักเตะบังคับบอลยากขึ้น วางบอลไม่แม่น ผู้รักษาประตูก็เสียสุนัขมาหลายรายแล้ว

ผมว่าใช้ลูกเก่าๆ แบบเดิมๆ ก็ได้ ถ้าอยากจะเปลี่ยนลวดลายเพื่อขายทำธุรกิจก็ไม่ว่ากัน

บางทีอะไรใหม่ๆ ก็ไม่เหมาะกับอะไรเก่าๆ ก็ได้นะครับ

fs_2010-05-17T080052Z_01_SSIB004_RTRIDSP_2_SOCCER-WORLD     jabulani-adidas-2010

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ช้าง

เคยไปกินข้าวตามร้านอาหาร หรือซื้อของอยู่แล้วมีช้างมาขออาหารไหมครับ

เห็นทีไรก็อดสงสารไม่ได้

เพราะทุกครั้งที่เห็น ความรู้สึกมันจะบอกว่า ช้างมันไม่อยากทำหรอก

คนต่างหากที่เอาช้างมาเป็นเครื่องมือแสวงหาอาชีพ

แต่บางคนก็บอกว่า ช้างมันอยู่ที่บ้านเกิดไม่ได้แล้ว มันจะอดตาย

มาเดินทำงานแบบนี้ดีกว่า

หลายคนซื้ออาหารให้ แล้วมีความสุขที่ได้สัมผัสมัน

หลายคนบ่นงึมงำว่า “ทำไมมึงมีอาหารอยู่ในมือแล้วไม่ให้เองว่ะ”

หลายคนบอกว่า “เอานะ เหมือนทำบุญน่ะแหละ ไม่ต้องคิดมาก”

ผมไม่เคยซื้อให้ครับ ผมสงสารมัน ตามันเศร้า

ไม่ชอบเห็นเวลาคนให้อาหารแล้ว คนคุมช้างก็บังคับให้มันคุกเข่าหรือขอบคุณแบบไหนก็ตาม

ผมว่าทุกคนหรือทุกตัว ชอบและมีความสุขเสมอ ที่บ้านของตัวเอง

ถ้าอยู่มาวันนึงไม่มีใครซื้ออาหารให้อีกแล้ว

ควานกับช้าง ใครจะได้กลับบ้านก่อนกัน ถ้าเป็นช้างก็คงดี

 

kdk_0319

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มันเรียกว่า????

มันใช้แทนกระจกได้....

ทับกระดาษได้เวลาเบื่อมันแล้ว..

มันทำให้หลายๆ คน กัดฟันต้องเป็นหนี้เพื่อมีมัน..

มันทำให้โทรศัพท์บ้านกับตู้สาธารณะตกยุค..

มันส่งเมล์ได้...

มันเล่นเนตได้..

มันถ่ายรูปได้..

มันเป็นเครื่องประดับ ทำให้หลายคนมั่นใจ..

มันเท่ห์...

มันถ่ายคลิปได้..

ฟังเพลง ฟังmp3 ...

มันส่งข้อความถึงกันได้..

มันทำให้หลายๆ คนอยู่คนเดียวก้มหน้าก้มตากดได้ทั้งวัน..

มันราคาตกทุกวัน..

แต่มีคนเปลี่ยนมันทุกเดือน..

มันเป็นเทคโนโลยีที่ตกยุคของต่างชาติ....

มันกินเงินเดือนไปเกือบครึ่งของบางคน..

มันเป็นแฟชั่นฟุ่มเฟื้อย ถ้าลืมนึกถึงประโยชน์ที่ต้องใช้มัน..

มันแพงนะ ถ้าใช้ความสามารถมันแค่หนึ่งในสี่..

มันเกือบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว..

ดูเวลาก็ได้..

ไฟฉายก็มี..

นาฬิกาปลุกยังได้..

มันเป็นปฎิทิน...

มันเป็นสมุดจดจำจนสมองเราไม่ต้องจำอะไรมาก..

มันเป็นแผนที่..

มันเป็นที่จุดฉนวนระเบิด..

มันเป็น...มันเป็น ฯลฯ ฯฯฯ

มันชื่อโทรศัพท์มือถือ

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ร้อนฉิบหาย

 

มีคนเคยบอกว่าถ้าโลกร้อนขึ้นอีก 6 องศา มนุษย์จะไม่สามารถทนอาศัยอยู่ได้

ตอนแรกก็ฟังไว้เฉยๆ ครับ คิดอยู่ว่า มันคงไม่เป็นแบบนั้นได้หรอก ถึงเป็นก็คงอีกหลายช่วงคนมั่ง

ตอนนี้ชักกลัวแล้วครับ....

ตอนเช้า 8 – 9 โมง ผมว่าเราเริ่มอยู่กลางแดดไม่ได้แล้ว มันร้อนแบบแสบๆ ผิวบอกไม่ถูก ช่วงกลางวันแดดจัดๆ ไม่ต้องพูดถึงครับ จะบ้าตาย ผมไม่ได้เป็นคนขี้ร้อนชอบนอนแอร์เท่าไหร่ ตอนนี้รู้สึกตัวเองผิวโคตรบางเลย เมื่อสมัยเรียนมัธยมยังจำได้เลยครับว่า ต้องตื่นไปซ้อมฟุตบอลตั้งแต่เช้าจนถึง 8 โมงกว่าๆ ถึงเข้าเรียน ตอนเที่ยงซ้อมต่ออีกรอบ ตอนนั้นอากาศดีมาก แดดส่องแบบรู้สึกสบายครับ ตอนนี้เชื่อไหมครับว่าหลายๆ คนบอกว่ายืนกลางแดดนานๆ ไม่ได้ทนไม่ไหวจะเป็นลม เคยได้ยินข่าวแว่วๆ มาว่าเริ่มมีวัวควายตายเพราะแดดและความร้อนกันแล้ว น่ากลัวนะครับไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย

เคยคิดกันไหมครับว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรถ้าอากาศมันร้อนจนผิวเราทนไม่ไหว จะเป็นอย่างไรหากเราต้องอยู่ในที่ร่มตลอดเวลา ถึงเวลาที่ต้องช่วยๆ กันบ้างแล้วล่ะครับ

ถ้าหากคิดแต่ว่าร้อนมากๆ ก็ติดแอร์ ทุกคนทุกบ้านก็ทำเหมือนกันหมด เราสบายครับ แต่โลกจะร้อนและมีมลพิษเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ไม่รู้

ตอนนี้ลองออกไปยืนกลางแดดดูนะครับ แล้วจะรู้เลยว่าสิ่งที่ช่วยเราได้มากที่สุด ต้นไม้ครับ มีการรณรงค์กันมายาวนานแล้วสำหรับเรื่องของการปลูกต้นไม้ ตอนนี้คงต้องจริงจังกันซะทีล่ะครับ ใครมีแผนอะไรยังไงต้องงัดกันออกมาโชว์กันแล้ว ไม่ใช่จะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตากันแข่งขายแอร์ พัดลม ยาทากันแดด ผมว่าถ้าให้ดีต้องให้ผู้บริโภครับต้นไม่ไปปลูก 10 ต้นต่อการซื้อแอร์เครื่องหนึ่งดีไหมครับ หรืออะไรก็ได้ให้มันมีการแลกเปลี่ยนแบบบังคับกันก็ได้ ไม่งั้นไม่ทันการครับผมว่า

มีวิธีหนึ่งของโรงแรมประเทศไหนก็ไม่รู้ครับจำไม่ได้แล้ว ไอเดียแจ่มมาก คนไปเปิดห้องนอนจะมีวิธีที่ทำให้ได้บัตรรับประทานอาหารในโรงแรมฟรีจำนวนกี่บาทก็ว่าไป โดยการแลกกับที่แขกต้องไปปั่นจักรยานออกกำลังกายที่สามารถผลิตไฟฟ้าไปในตัว สุดๆ ครับ โรงแรมมีแขกแถมปั่นไฟฟ้าด้วยพลังงานคนแลกกับอาหารนิดหน่อย คนไปพักได้ออกกำลังกายไปในตัวแถมกินข้าวฟรีอีก

....วินวินทั้งคู่ครับ....

 

GlobalWarming_resize tree_resize

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

:P

กลับมาอีกครั้งแล้วครับ หลังหายตัวไปเกือบ 2 เดือนเห็นจะได้ ไปปฏิบัติภารกิจเพื่อตัวเองมาครับ เลยไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย

ตอนแรกว่าจะเขียนถึงเรื่องสงกรานต์ แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า เบื่อ

เวลานี้ต้องขอพูดถึงฟุตบอลลีกของประเทศเราหน่อย ไม่กี่วันที่ผ่านมามีโอกาสดีได้ไปดูการแข่งขันสดๆ ในสนามครับ ซึ่งใครที่ติดตามจะรู้ว่า คึกคักและสนุกมาก ผมเป็นคนที่เล่นบอลมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้รู้สึกว่า มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ใครไปทำอะไรเข้า การแข่งขันบอลของบ้านเรามันถึงได้พัฒนาขนาดนี้ไปได้ สโมสรหลายๆ สโมสร กลายเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติแบบมืออาชีพไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสนามแข่งขัน กองเชียร์ ร้านขายของที่ระลึก ซึ่งเชื่อไหมว่าแต่ละนัดขายได้เงินเป็นแสนๆ บวกกับค่าตั๋วเข้าชมอีก ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่เดี๋ยวนี้นักฟุตบอลสามารถมีอาชีพเป็นนักฟุตบอลจริงๆ สามารถเลี้ยงชีพและสร้างครอบครัวได้อย่างภูมิใจ

บรรยากาศในสนามนั้นถ้าใครมีโอกาสอยากให้ได้เข้าไปชมและเชียร์กันครับ ทีมไหน สนามไหนก็ได้ สำหรับผู้ที่ยังเลือกทีมโปรดไม่ได้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาฟุตบอลไทยครับ

สิ่งที่น่าห่วงอย่างหนึ่งคือ คำหยาบ คำด่า ที่พูดออกมาใส่นักเตะและผู้เป็นกรรมการครับ ผมไม่ห้ามนะครับที่จะมีสิ่งพวกนี้อยู่ในสนาม เพราะมันเป็นแบบนี้ทั้งโลก ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ตอนนี้เรากำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กระแสทำให้ในสนามมีทั้งผู้ที่เข้าใจในเกมฟุตบอล ผู้ที่เป็นมืออาชีพในการเชียร์ แต่อย่าลืมนะครับว่า เราจะเห็นว่ามีทั้งสุภาพสตรีซึ่งไม่มีความรู้ หรือดูบอลไม่เป็นเลยก็ว่าได้เข้ามาดู มีพ่อแม่จูงลูกเข้ามาดูเพื่อปลูกฝังการกีฬาให้เป็นความรู้และส่วนประกอบในการเติบโตเป็นเยาวชนที่ดี เพราะฉะนั้น คำพูดทุกคำ การแสดงออกทุกอย่าง มันคือครูที่สอนพวกเค้าเหล่านั้นครับ ใครพาใครมาดูช่วยอธิบายเหตุผลประกอบให้เค้าเข้าใจด้วยนะครับ

เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “บอลไทยไปบอลโลก”

เค้าไม่ได้หมายความแค่มีนักเตะที่ดี มีโค้ชที่เก่ง แค่นั้นนะครับ

ชื่อมันก็พูดกับเราอยู่แล้ว บอลไทย มันหมายถึงทุกส่วนที่เกี่ยวข้องครับ มันหมายถึงเราด้วย

เขียนมาซะยาวหลายคนคงอยากรู้ใช่ไหมล่ะครับ ว่าเวลาผมไปดูบอล ผมจะเชียร์ยังไง จะได้มีส่วนช่วยสังคม

เสาร์-อาทิตย์ นี้ลองเข้าไปชมการแข่งดูนะครับ ไปนั่งตรงใจกลางกองเชียร์เลย แล้วคุณจะรู้ว่า คุณจะช่วยบอลไทยไปบอลโลกได้อย่างไร

kdk_0116

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

งานเทศกาล

เสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมารู้สึกแปลกๆ ครับ เพราะเป็นเทศกาลสำคัญของคนเชื้อชาติจีน และชาวฝรั่งมังค่า พร้อมๆ กัน เทศกาลที่ว่าคือ ตรุษจีน กับ วาเลนไทน์ ผมเองก็มีเชื้อจีนอยู่ครึ่งหนึ่งครับ แต่เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง จึงทำให้ไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมกับพิธีเท่าไหร่ จึงไม่สามารถรู้ถึงขั้นตอนและบรรยากาศของงาน แต่ก็ได้ซองแต๊ะเอียกับเขาเหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนได้ถุงยังชีพจากรัฐบาลเลย 555

พอๆ กันกับวาเลนไทน์ครับ ตอนวัยรุ่นสมัยมัธยม อาจตื่นเต้นเป็นพิเศษ ขยันที่จะตื่นตั้งแต่เช้าไปปากคลองตลาด ซื้อดอกไม้ช่อใหญ่ เอามาให้สาวๆ ซึ่งสมัยนั้นก็ขำๆ ครับ รักในวัยเรียน โตขึ้นมาก็รู้สึกเฉยๆ ไปเองครับ (หรือเพราะไม่มีสาวๆ เหมือนก่อนก็ไม่รู้ 555)

ได้คุยกับเพื่อนบางคนครับ มันบอกว่าเซ็งวันนี้สุดๆ ตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอใครเลย ทุกคนออกไปข้างนอกกันหมด คงไปกับแฟน ผมก็บอกว่า อ้าว !! มึงก็ออกไปเดินเล่น ซื้อของ ดูหนัง เหมือนตามปกติที่มึงทำสิ ไม่เห็นแปลก มันบอก ไม่อยากออก ทุกวันเดินคนเดียวได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าวาเลนไทน์มันเขินบอกไม่ถูก

คนเราก็แปลกนะครับ สามร้อยกว่าวันในหนึ่งปี อยู่คนเดียวได้มาตลอด แต่กลับทำไม่ได้ในวันหนึ่ง ทำอย่างที่เคยทำไม่ได้ ไม่รู้เกิดมาจากความรู้สึกของตัวเองที่มองคนอื่นๆ หรือจากความรู้สึกของคนอื่นที่ตัวเองคิดว่าจะมองกลับมากันแน่

เคยคุยเล่นๆ กับเพื่อนที่เที่ยวกันบ่อยๆ ครับว่า ถ้ามีบ้านพักสวยๆ ต่างจังหวัด บรรยากาศดีๆ จะจัดโปรโมชั่นรับเฉพาะคนโสดมาเที่ยวกันวันวาเลนไทน์ครับ จะจัดทุกอย่างให้มันโคตรเศร้า ซ้ำเติมความรู้สึกแบบสุดๆ ไปเลยครับ

เพลงเศร้าที่ฟังแล้วน้ำตาไหล จับกลุ่มคุยเรื่องความรักที่ผ่านมาเหมือนในหนังที่ชอบมีกลุ่มสารภาพให้คนแปลกหน้าฟังเพื่อให้ผ่านเรื่องต่างๆ ไปให้ได้ มีวอดก้าให้ดื่มแบบเต็มที่กินแล้วปาแก้วทิ้งให้สบายใจ

ทำทุกอย่างที่อยากทำ ทำทุกอย่างที่ยังไม่ได้ทำ

ไม่ได้อยากให้เป็นรวมพลคนเหงานะครับ แต่ไม่อยากให้เสียเวลาไปหนึ่งวันเฉยๆ แล้วรู้สึกว่าวันวาเลนไทน์มันไม่ใช่วันของเรา

บางทีผมอาจตั้งวันที่ 15 กุมภา เป็นวันสำคัญอีกหนึ่งวันก็ได้ เพราะเชื่อว่าหลายๆ คน รอสารภาพรักกับคนที่ชอบในวันที่ 14 ไม่มากก็น้อย คงไม่ทุกคนที่สมหวังหรอกครับ

14 กุมภา วันวาเลนไทน์

15 กุมภา วันบาย บาย ความรัก ดีไหม?? :P

Big_120157171505 Valentine-2009-2

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำสอนดีๆ กับสูตรแห่งความสำเร็จ

 

บังเอิญได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์จากทั้งในเนต และสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ แล้วชอบคำสอนของ ขงจื๊อ ที่ว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน ครับ

ฟังแล้วอย่างหนึ่งก็รู้สึกว่า จะอย่างไรทุกคนก็ย่อมมีลิขิตจากฟ้าส่งมาติดตัวเราอยู่แล้ว อาจจะกำหนดโน่น นี้ นั้น ได้บ้าง แต่เราก็ไม่ควรทิ้งความพยายาม หรือจะพยายามทั้งทีก็ควรทำให้ถึงที่สุดครับ ผมเคยรู้สึกว่าลิขิตฟ้าอย่างหนึ่งก็คือพรสวรรค์ที่ทุกคนย่อมมีติดตัวซักหนึ่งอย่าง เคยรู้สึกว่าทำยังไงมานะยังไงก็สู้คนที่มีพรสรรค์สิ่งนั้นติดตัวอยู่ไม่ได้

ผมชอบศิลปะครับจึงเลือกเรียนทางสายนี้มาทั้งๆ ที่วาดรูปไม่ได้เรื่องเลย เคยต้องวาดภาพคนเหมือนครับ ศึกษาโครงสร้างกระดูก หัดแล้วหัดเล่า ก็ได้แต่เกรดดีด๊อกตัวโคตรใหญ่จากอาจารย์กลับมาอยู่เสมอไป

ใช้ความพยายามบวกกับความชอบครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ส่งงานไป กลับคืนมาเป็นเกรดซีครับ มีคำชมง่ายๆ สั้นๆ ว่า “ใช้ได้ ดีขึ้น”

โคตรปลื้มครับ ยังกะได้เกียรตินิยมเลย

ลิขิตฟ้าไม่ได้เป็นคนเขียนกลับมาครับ แต่เป็นอาจารย์เรานี่แหละที่เห็นความมานะ เพราะฉะนั้นก็แสดงว่ามีบางอย่างที่ลิขิตฟ้าก็ให้เราไม่ได้เหมือนกัน จงทำมันเถิด ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี

พอเห็นคำสอนนี้ ทำให้นึกถึงบทความที่เคยเห็นแล้วชอบจึงเก็บไว้เพื่อเป็นคำสอนตัวเองอยู่เสมอครับ มันเป็นสูตรแห่งความสำเร็จ (ไม่รู้ว่าใครคิดขึ้น ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)

สูตรสู่ความสำเร็จ
ถ้า A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z มีค่าเท่ากับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 2324 25 26 ตามลำดับ

แล้วจะพบว่า......

1) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11= 98%

HARD WORK หรือ ทำงานหนักมีค่าเท่ากับ 98 %
2)K+N+O+W+L+E+D+G+E=11+14+15+23+12+5+4+7+5= 96%
KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96 %
3) L+O+V+E=12+15+22+5= 54%
LOVE หรือ ความรัก มีค่าเท่ากับ 54 %
4) L+U+C+K = 12+21+3+11= 47%
LUCK หรือ โชค มีค่าเท่ากับ 47 %

ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า 100 % เลยหรือ !!! แล้วสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับ100 %
- ใช่เงินหรือเปล่า ? .... .....ไม่ใช่ !!!!!
- ความเป็นผู้นำหรือเปล่า ?ไม่ใช่ !!!!!

แล้วอะไรล่ะ ?
A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5 = 100%

ATTITUDE หรือทัศนคติ นั่นเอง ที่มีค่าเท่ากับ 100 %

เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีทัศนคติว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน

เมื่อคุณทำงานหนัก+ศึกษาหาความรู้+ความรักที่ได้มาแล้วนั้น ที่เหลือก็เป็นตัวแปรนอกการควบคุมครับ เดี๋ยวคำว่า “โชค” มันจะทำงานของมันเองครับ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แต่งงาน กับ งานแต่ง

วันเสาร์ที่ผ่านมา ไปร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งมันแต่งงานครับ มีทั้งพิธีแบบคริสต์ที่โบสถ์ และงานเลี้ยงแบบไทยๆ ตอนหัวค่ำ

ผมว่างานแต่งเป็นแหล่งพบปะที่ดีเวลาที่อยากจะเจอกับเพื่อนๆ เพราะจะมีทั้งเพื่อนสมัยประถม มัธยม ที่ทำงาน หรือเพื่อนเที่ยวทั่วไป ถ้าไม่ติดงานด่วนอะไรมากๆ ก็จะพยายามไปแทบทุกครั้งครับ

พอเวลาอายุมากขึ้น แต่งงานกันไปหมดแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการพบปะแบบโศกเศร้า เพราะจะมีวัดเป็นแหล่งสำคัญไปแทน

นานๆ จะมีโอกาสเห็นพิธีแบบคริสต์ครับ ดูสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ แถมอยู่ในโบสถ์อากาศเย็นๆ สบายดีครับ แต่ก็รู้สึกเขินๆ เหมือนกันเพราะทำอะไรไม่ค่อยถูก

ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งแบบไหน ผมว่าก็มีความสุขเป็นที่ตั้งเหมือนกันอยู่แล้ว ผมชอบเดินดูงานทั่วๆ ครับ ถ้ามีกล้องถ่ายภาพติดไปก็จะถ่ายรูปรายละเอียดสวยๆ เก็บไว้เสมอ

บางงานคู่รักก็จะทุ่มเททุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด จนบางครั้งก็แยกไม่ออกครับว่าอยากแต่งงาน หรืออยากจัดงานแต่ง เพราะบางทีเห็นเจ้าภาพบางงานก็เครียดกับงานมากไปจนลืมว่า วันนี้เป็นวันที่ต้องมีความสุขนะ ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงาน ผิดพลาดอะไรนิดหน่อยหรือดอกไม้เอียงไปองศาหนึ่งก็ช่างมันเถอะครับ แขกเค้ามาร่วมแสดงความยินดี ไม่ใช่กรรมการเดอะสตาร์มาวิจารณ์

รู้ไหมครับ ผมชอบช่วงไหนมากที่สุด ในงานแต่งงาน ???

เซ็นชื่อเข้างาน ถ่ายรูป นั่งกิน ฉากหอมแก้ม ตัดเค้ก

ไม่ใช่เลยครับ....

ผมชอบตอนจะแยกย้ายกลับ แล้วเพื่อนไม่ว่าจะเป็นเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเดินมาส่งครับ

ผมไม่รู้นะครับว่าบ่าวสาวเค้าจะมีความรู้สึกอย่างไร (เพราะยังไม่เคยแต่ง) แต่ผมว่าไอ้การที่เรากอดหรือตบไหล่เพื่อนแล้วพูดกับมันว่า

“ยินดีด้วยเว้ยมึง”

ภาพบรรยากาศตอนที่เรารู้จักหรือเคยมีเหตุการณ์ที่เราได้ร่วมใช้ชีวิตกันมา มันจะสไลด์โชว์แบบออโต้ในหัวครับ

ช่วงเวลาแห่งความสุขก็จะอยู่กับเราซักประมาณชั่วโมง หรือสองชั่วโมงครับ ต่อจากนั้นเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเหมือนผม คือ พวกเพื่อนที่มาร่วมงานแต่ง ก็จะพาเหรดไปเที่ยวกันต่อเสมอ แล้วที่พลาดไม่ได้คือตอนชนแก้วกับประโยคแสนคลาสสิค

“ใครจะตกนรกเป็นรายต่อไปว่ะ”

.......55555 .......

 

s_023

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ตรวจผู้ต้องสงสัย

เลิกงาน 5 โมงเย็น ถ้าไม่ติดงานด่วนผมจะวิ่งเอาเหงื่อหรือไม่ก็เล่นบอลกีฬาโปรดเป็นการออกกำลังกายเรียกเหงื่อครับ เพื่อสุขภาพที่ดีด้วย

เพราะฉะนั้นที่โต๊ะทำงานของผมจะมีเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนและอุปกรณ์อาบน้ำติดไว้เสมอ เล่นเสร็จประมาณทุ่มนิดหน่อย ก็จะนั่งพัก อาบน้ำ และเปลี่ยนชุดนั่ง รถประจำทางกลับบ้านครับ

ผมเป็นคนร้อนง่ายหนาวง่ายครับ และถ้ารู้สึกอึดอัดเวลาร้อนๆ เหงื่อออกเหนียวตัวด้วยแล้ว ทำไรไม่ได้ครับมันหงุดหงิด ชุดที่ผมใส่นั่งรถกลับบ้านคือเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ นึกถึงตอนใส่ชุดอยู่บ้านน่ะครับ และจะมีเป้ใส่ชุดกีฬากับชุดทำงาน และอุปกรณ์ติดตัวต่างๆ จนตุงหนึ่งใบ

หลายคนก็ทักนะครับว่าใส่ชุดหยั่งนี้ขึ้นรถเหรอ ผมเข้าใจครับว่ามันดูสบายและอาจโทรมไปสำหรับบางคน แต่ผมว่าเมืองไทยมันเมืองร้อนครับ ควรใส่อะไรที่มันบางๆ เบาๆ และสบายตัว ถึงจะเหมาะ และอีกอย่างถ้าใครได้ใช้รถประจำทางหรือรถทัวร์บ่อยๆ จะทราบว่าบางคันมันก็แอร์เย็นบ้างไม่เย็นบ้างครับ เราต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน

ถ้าพอมีเวลาเหลือผมก็จะเดินเข้าห้างสรรพสินค้าก่อนเข้าบ้านครับ ดูหนังสือบ้าง เพลงบ้าง หนังบ้าง แวะเข้าห้องน้ำไปฉี่อย่างเดียวก็มีครับ

ก่อนเข้าห้างก็จะเจอจุดตรวจตราความเรียบร้อยครับ ช่วงที่บ้านเมืองมีเหตุวุ่นวายต่างๆ นานา จะมีการตรวจเข้มเป็นพิเศษ

เชื่อไหมครับว่าผมเดินเข้าห้างพร้อมคนหลายๆ คน ผมเจอหยุดตรวจอยู่คนเดียวครับ ทีแรกก็ไม่สนใจ แต่พอโดนตรวจสามวันติดเริ่มเซ็งครับ โอเค หน้าผมอาจไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส หรือผมของผมอาจยาวรุงรัง แต่น่าจะสุ่มตรวจหลายๆ คนนะครับ แถมบางทีให้ผมเปิดเป้ให้ดู รื้อไปรื้อมาอยู่นั้น บางวันผมเลยแกล้งเอาชุดบอลเหงื่อชุ่มๆ กับกางเกงในไว้ข้างบนซะเลย

เท่าที่ผมสังเกต ตั้งสมมติฐาน และทำการทดลอง ตามตัวแปรต่างๆ แล้ว สรุปได้ว่า ที่เค้าตรวจผมเพราะชุดที่ผมใส่ครับ มันเป็นเหมือนชุดอยู่บ้าน ไม่หล่อ สุภาพ เรียบร้อย เหมือนที่คนอื่นส่วนมากใส่กัน เลยต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในการโดนตรวจค้นครับ

เคยเสียเวลาทดลองครับ วันหนึ่งเดินเข้าห้างแล้วก็โดนตรวจตามเคย พอตรวจเสร็จผมเดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเป็นชุดทำงานเต็มยศ เอาเป้ไปฝากเคาเตอร์ชั้นล่าง เดินออกนอกห้าง วนไปขึ้นบันไดเข้าห้างอีกทีครับ จุดเดิม ที่เดิม คนตรวจเดิม ตัวผมคนเดิม แต่เปลี่ยนชุดหล่อครับ

ผ่านฉลุย ชิวชิว

ผมไม่เคยโทษเจ้าหน้าที่น่ะครับ เพราะเพื่อนผมก็บอกว่าถ้าเป็นมัน มันก็ตรวจผมแน่นอน

เพียงแค่รู้สึกขำเล็กๆ ครับ ผมไม่ปฎิเสธครับว่าภาพลักษณ์ข้างนอกของเรามันสำคัญ แต่ต้องดูสถานการณ์ควบคู่ด้วยก็คงดีครับ ถ้าต้องการตรวจเพื่อดูรายละเอียดต่างๆ ที่อยู่ข้างในตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวคน หรือตัวสิ่งของต่างๆ ก็ควรเข้มงวดกับสิ่งที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่จะคอยครวจเข้มเฉพาะกับสิ่งที่เห็นภายนอกครับ

สังคมเราบางทีก็สั่งสมค่านิยมบางอย่างที่แปลกๆ ครับ จนบางทีทำให้เราลืมความหมายของหน้าที่ตัวเอง

บางทีเวลาที่ผมต้องโดนหยุดตรวจ ผมมองดูคนที่ใส่สูทผูกไทเดินผ่านไปมา ก็ทำให้ผมหายสงสัยครับว่า ทำไมบางทีเรารู้ทั้งรู้ว่ามีผู้ทำผิด อยู่ตรงไหน และที่ใดบ้าง แต่ทำไมไม่ไปตรวจหรือจับเข้าคุกกัน

อาจเป็นเพราะชุดล่องหนที่ใส่กันอยู่ก็ได้ 555

post-1390-1199937681        01_46

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

ความเชื่อ

มีอยู่วันหนึ่งติดรถน้องที่ทำงานไปทำธุระครับ นั่งรถก็คุยกันไปเรื่อยๆ ขับไปเรื่อยๆ ผมก็ค้นรถเล่นไปเรื่อยๆ เหมือนกัน

ไปเจอพวงกุญแจห้อยอยู่ที่บังแดดเหนือหัวครับ เอาลงมาดูเล่นเพราะอยากรู้ว่าทำไมเอามาไว้อยู่ตรงนี้

เป็นพวงห้อยกุญแจธรรมดาทั่วไปเนี่ยแหละครับเป็นรูปแคน (เครื่องเป่าพื้นเมืองชนิดหนึ่ง)

ถามไปถามมาน้องบอกว่าพระให้มา

ผมงงนิดหน่อยครับ ว่าทำไมพระให้พวงกุญแจแทนที่จะเป็นอะไรก็ตามแต่ที่ช่วยเสริมหรือคุ้มกันด้านจิตใจ

น้องบอกต่อไปอีกว่า พระให้มาติดตัวไว้ ช่วยเสริมดวง

ช่วยยังไงว่ะ ผมถามน้องนะครับ ไม่ได้ถามพระ อย่าตกใจ

มีติดตัวไว้ จะได้ไม่ขาดแคลน น้องตอบ

หายงงครับท่าน มีแคนติวตัวไว้ จะได้ไม่ขาดแคลน

ต้องยอมรับครับว่า ผมแอบยิ้มนิดหน่อย หัวเราะบ้างพอเป็นพิธี น้องคงรู้ครับว่าผมว่ามันดูแปลกๆ และไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ จึงรีบบอกผมว่า “ก็พกไว้ ยังไงซะก็สบายใจขึ้น จะช่วยได้หรือยังไงค่อยว่ากันอีกที”

ผมไม่ได้ลบหลู่ครับ เพราะเชื่อว่าหลายๆ ท่านก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน ความเชื่อ ความศรัทธาส่วนตัว ถือเป็นเหตุผลหนึ่งครับ ไม่ต่างจากความชอบ

ทุกครั้งที่ผมแข่งบอล ผมชอบใส่เบอร์ 10 ครับ เพื่อนๆ ที่เล่นด้วยก็รู้ใจเอาเสื้อเบอร์ 10 ไว้ให้ผมเสมอ ใส่ทีไรรู้สึกว่าตัวเองเล่นดี เทพเข้าแข้งครับ เปเล่ ซีดาน ประมาณนั้นเลย ทั้งที่จริงๆ แล้ว บางทีตอนถอดเสื้อเล่น ยังเล่นดีกว่าซะอีก

ความชอบ ความเชื่อ นี่แหละครับ ทำให้เกิดความมั่นใจ พอมีความมั่นใจก็ทำให้พร้อมที่จะทำอะไรได้อย่างเต็มที่ครับ

สมัยวัยรุ่นผมมักนอนดึกเพราะชอบบรรยากาศทำการบ้านตอนกลางคืนครับ มันไฟลนตูดดี

ดึกๆ จึงต้องออกไปหาของใส่ท้องเพิ่มพลังเสมอ มีวันหนึ่งขณะกำลังรออุ่นไส้กรอกในร้านสะดวกซื้อ เจอเพื่อนสุดหล่อที่เคาเตอร์พอดี

เห็นมันซื้อถุงยาง 2 กล่องครับ พอเดินออกนอกร้านจึงแซวว่า มึงจะไปออกรบศึกหนักหรือไปแบ่งขายว่ะ

มันบอกว่าต้องใส่สองชั้นถึงมั่นใจ จะซื้อกล่องเดียวมันก็มีแค่สามชิ้น ไม่ลงตัวรอบหน้า พูดเสร็จมันก็รีบบึ่งรถหายไปอย่างรวดเร็ว

ทำให้ผมรู้เพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า ความกลัวก็ทำให้เราขยันสร้างความมั่นใจขึ้นได้เหมือนกัน

นึกถึงเพื่อนคนนี้แล้ว ตอนนี้ผมคงต้องไปหาหลวงพี่คนนั้นบ้างแล้วล่ะครับ

จะได้ไม่ขาดแคลน 555

kaen spd_20091028205417_b condom

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ยี่ห้อนั่นสำคัญไฉน???

 

ทุกเดือนที่บ้านจะต้องไปจับจ่ายซื้อของใช้กันครับ ไปทีก็หมดตัวกันไปที ล่าสุดช่วงปีใหม่ครับ พอไปถึงก็ต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่หยิบของคนละอย่างสองอย่าง

ซักพักก็มารวมตัวกันที่รถเข็น บางทีก็ต้องสองคันครับ ซื้อนึกว่าเอาไปแบ่งขายเหอะ

เหลือบไปเห็นชุดกระเช้าอวยพรครับ เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่นิยมให้อวยพรกัน แต่ดูไปดูมามันเป็นยี่ห้อที่ไม่คุ้นครับ แต่คล้ายๆ กันมาก บใบไม้เหมือนกันแต่สะกดไม่เหมือนกัน ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ แต่ก็ถามที่บ้านดูว่าทำไมเอายี่ห้อนี้

คุยไปคุยมากลับเป็นว่าหยิบมานึกว่าเป็นยี่ห้อดั่งเดิม ผลสุดท้ายเอาไปคืนที่เดิมไม่เอา แถมไม่เอายี่ห้อเดิมด้วย

งงสิครับงานนี้ เลยถามว่าแล้วทำไมไม่เอาอันดั่งเดิมไปล่ะ

“จัดไม่สวย ไม่มีแบบที่อยากได้” แม่ตอบ

แล้วทำไมไม่เอายี่ห้อใหม่ที่จัดถูกใจล่ะ ผมถามดาบสอง

“ไม่เอา ยี่ห้อไม่รู้จัก”

สุดท้ายก็จบตรงเดินไปหานมยี่ห้อดังเป็นของอวยพรญาติครับ

เลยรู้สึกว่า การจะเปลี่ยนใจผู้บริโภคนั่นช่างยากเสียจริง

ความเชื่อว่าถ้าให้ของอวยพร ต้องยี่ห้อนี้ ของเพื่อสุขภาพก็จะต้องนึกถึงแบบนี้

เปลี่ยนยากมากครับ เพราะคนซื้อตอนซื้อนั้นไม่ได้นึกถึงการบริโภคครับ

แต่นึกถึงตอนถือไปให้ซะมากกว่า

กินไม่กิน ชอบไม่ชอบ ไม่รู้ แต่มันต้องอันนี้ยี่ห้อนี้ สบายใจผู้ให้ครับ

นึกถึงเวลาซื้อ มาม่า หรือ แฟ้บ ก็ได้ครับ

คุณซื้อตรงกับชื่อมันบ้างรึเปล่า

เคยเห็นแม่ลูกคู่หนึ่งจ่ายตังค์ตอนซื้อของครับ ลูกบอกว่าให้รอเดี๋ยวจะวิ่งไปเอามาม่าไว้กินเล่น

กลับมาพร้อมไวไวแพคใหญ่ แม่ถามว่ามันคนละยี่ห้อกันนี่ลูก

ลูกบอก “อันนี้มันอร่อย”

สุดท้ายก็จ่ายตังค์ไปกลับบ้านเรียบร้อย

อันนี้แหละครับเรียกว่าซื้อของให้คนรับ ไม่ใช้ซื้อของให้คนซื้อ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

เชียงราย

 

ช่วงก่อนปีใหม่มีโอกาสดีได้ไปเที่ยวเชียงรายกับเพื่อนๆ ครับ ไปมาประมาณ 6-7 วัน

ไปเช่ารถแล้วขับเที่ยวตามประสาวัยรุ่นตอนปลายนิดๆ ครับ ได้ไปมาหลายๆ ที่ ไร่นกกระจอกเทศ, ภูชี้ฟ้า, ผาตั้ง, แม่สาย, วัดร่องขุ่น, ดอยช้าง, ดอยตุง, น้ำตกภูซาง

ประทับใจในทุกๆ ที่ครับ ถ้าจะให้เล่าคงยาวน่าดู ทั้งความสวยงามจากสถานที่ และบรรยากาศผู้คนรอบข้าง รวมถึงได้ไปกับกลุ่มเพื่อนคอเดียวกันแล้ว มีแต่มันส์กับฮาครับ

แต่ที่รู้สึกบางอย่างแปลกๆ ก็คือ ตามจุดท่องที่ยวบางแห่งนั้น จะมีเด็กน้อยท้องถิ่น หรือชาวเขา มาคอยให้บริการแนะนำจุดท่องเที่ยว หรืออาจเป็นการแสดงต่างๆ รวมไปถึงการเพิ่มสีสันในการถ่ายภาพ

ผมเห็นด้วยนะครับ ว่า หนึ่งนักท่องเที่ยวชอบ สองเด็กๆ ได้รับสิ่งตอบแทนเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ถือเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

แต่ที่ว่าแปลกๆ คือ อย่าให้มันมากเกินไป จนกลายเป็นการแข่งขันครับ

ในหลายๆ จุด นักท่องเที่ยวถูกรมล้อมอย่างกับดาราเลยครับ หรือบางแห่งถ้าใครนั่งรอดูทะเลหมอกนานๆ แล้วล่ะก็ จะได้ยินประโยคพูดข้างหูวนแล้ววนเล่าไม่รู้กี่สิบรอบ

“ถ่ายรูปกับเด็กชาวเขามั้ยค่ะ ถ่ายรูปกับเด็กชาวเขามั้ยครับ”

ผมไม่ได้ว่าเด็กๆ ทำผิดนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าถ้ามันเป็นเพราะถูกผู้ใหญ่คอยสั่งให้ทำอยู่เรื่อย จนเกินน่ารัก มันก็จะทำให้เสียบรรยากาศได้บ้างเหมือนกัน

ความรู้สึกจะคล้ายๆ นั่งกินข้าวและมีคนมาคอยหวยอยู่ตลอดน่ะครับ

อยากจะให้ผู้ดูแลตามจุดท่องเที่ยวคอยดูแลและควบคุมให้เป็นระเบียบ และมีไม่มากไม่น้อยจนเกินไปครับ ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายคงได้ประโยชน์ร่วมกัน :P

F1160003_resize F1160009_resize F1160026_resize F1170017_resize F1160025_resize F1160031_resize

 

F1180012_resize F1180019_resize

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

สวัสดีปีเสือ

เป็นยังไงบ้าง ปีใหม่ไปเที่ยวไหนกันมาครับ

ผมอยู่บ้านที่บางนา รู้สึกดีครับ ฉลองปีใหม่กับครอบครัว

มีโอกาสผ่านไปแถวย่านชุมชนบ้าง รู้สึกสบายกับการจราจรมากครับ รถโล่ง คนน้อย

ได้ฟังข่าวหรือดูทีวีรายการอะไรจำไม่ได้ เค้าแนะว่าช่วงปีใหม่น่าจะมีไกด์จัดทัวร์สำหรับคนที่อยู่ต่างจังหวัดแล้วอยากเข้ามาเที่ยวที่กทม.บ้าง

เพราะเหมาะมากในการจราจรและพาชมสถานที่ต่างๆ แบบไม่ต้องแออัดเบียดเสียดจนเกินไป คนไปเที่ยวต่างจังหวัดหมด

ผมเห็นด้วยครับ เพราะปกติผมก็เป็นประเภทไม่ขยันเข้าไปเที่ยวในโซนกรุงเทพที่รถติด เพราะหงุดหงิด จิตตกครับ

แต่ถ้าเป็นช่วงปีใหม่ อากาศเป็นใจหนาวซักนิดล่ะก็ เมืองสวรรค์ของแท้ครับ ได้ไปในที่ที่อยากไปโดยใช้เวลาที่สมควรจะเป็น ไม่ใช่หลับแล้วหลับอีก

ถ้าผมมีความสามารถเป็นไกด์เมื่อไหร่ จัดแน่ๆ เที่ยวกรุงเทพฯ แดนศิวิไล 3 วัน 2 คืน

ปล่อยให้คนกรุงเค้าได้ไปดูหมอกจริงๆกันเถอะครับ…เพราะดมหมอกท่อไอเสียมานานนับปีแล้ว 555