วันเสาร์ที่ผ่านมา ไปร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งมันแต่งงานครับ มีทั้งพิธีแบบคริสต์ที่โบสถ์ และงานเลี้ยงแบบไทยๆ ตอนหัวค่ำ
ผมว่างานแต่งเป็นแหล่งพบปะที่ดีเวลาที่อยากจะเจอกับเพื่อนๆ เพราะจะมีทั้งเพื่อนสมัยประถม มัธยม ที่ทำงาน หรือเพื่อนเที่ยวทั่วไป ถ้าไม่ติดงานด่วนอะไรมากๆ ก็จะพยายามไปแทบทุกครั้งครับ
พอเวลาอายุมากขึ้น แต่งงานกันไปหมดแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการพบปะแบบโศกเศร้า เพราะจะมีวัดเป็นแหล่งสำคัญไปแทน
นานๆ จะมีโอกาสเห็นพิธีแบบคริสต์ครับ ดูสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ แถมอยู่ในโบสถ์อากาศเย็นๆ สบายดีครับ แต่ก็รู้สึกเขินๆ เหมือนกันเพราะทำอะไรไม่ค่อยถูก
ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งแบบไหน ผมว่าก็มีความสุขเป็นที่ตั้งเหมือนกันอยู่แล้ว ผมชอบเดินดูงานทั่วๆ ครับ ถ้ามีกล้องถ่ายภาพติดไปก็จะถ่ายรูปรายละเอียดสวยๆ เก็บไว้เสมอ
บางงานคู่รักก็จะทุ่มเททุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด จนบางครั้งก็แยกไม่ออกครับว่าอยากแต่งงาน หรืออยากจัดงานแต่ง เพราะบางทีเห็นเจ้าภาพบางงานก็เครียดกับงานมากไปจนลืมว่า วันนี้เป็นวันที่ต้องมีความสุขนะ ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงาน ผิดพลาดอะไรนิดหน่อยหรือดอกไม้เอียงไปองศาหนึ่งก็ช่างมันเถอะครับ แขกเค้ามาร่วมแสดงความยินดี ไม่ใช่กรรมการเดอะสตาร์มาวิจารณ์
รู้ไหมครับ ผมชอบช่วงไหนมากที่สุด ในงานแต่งงาน ???
เซ็นชื่อเข้างาน ถ่ายรูป นั่งกิน ฉากหอมแก้ม ตัดเค้ก
ไม่ใช่เลยครับ....
ผมชอบตอนจะแยกย้ายกลับ แล้วเพื่อนไม่ว่าจะเป็นเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเดินมาส่งครับ
ผมไม่รู้นะครับว่าบ่าวสาวเค้าจะมีความรู้สึกอย่างไร (เพราะยังไม่เคยแต่ง) แต่ผมว่าไอ้การที่เรากอดหรือตบไหล่เพื่อนแล้วพูดกับมันว่า
“ยินดีด้วยเว้ยมึง”
ภาพบรรยากาศตอนที่เรารู้จักหรือเคยมีเหตุการณ์ที่เราได้ร่วมใช้ชีวิตกันมา มันจะสไลด์โชว์แบบออโต้ในหัวครับ
ช่วงเวลาแห่งความสุขก็จะอยู่กับเราซักประมาณชั่วโมง หรือสองชั่วโมงครับ ต่อจากนั้นเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเหมือนผม คือ พวกเพื่อนที่มาร่วมงานแต่ง ก็จะพาเหรดไปเที่ยวกันต่อเสมอ แล้วที่พลาดไม่ได้คือตอนชนแก้วกับประโยคแสนคลาสสิค
“ใครจะตกนรกเป็นรายต่อไปว่ะ”
.......55555 .......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น