วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

งานเทศกาล

เสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมารู้สึกแปลกๆ ครับ เพราะเป็นเทศกาลสำคัญของคนเชื้อชาติจีน และชาวฝรั่งมังค่า พร้อมๆ กัน เทศกาลที่ว่าคือ ตรุษจีน กับ วาเลนไทน์ ผมเองก็มีเชื้อจีนอยู่ครึ่งหนึ่งครับ แต่เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง จึงทำให้ไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมกับพิธีเท่าไหร่ จึงไม่สามารถรู้ถึงขั้นตอนและบรรยากาศของงาน แต่ก็ได้ซองแต๊ะเอียกับเขาเหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนได้ถุงยังชีพจากรัฐบาลเลย 555

พอๆ กันกับวาเลนไทน์ครับ ตอนวัยรุ่นสมัยมัธยม อาจตื่นเต้นเป็นพิเศษ ขยันที่จะตื่นตั้งแต่เช้าไปปากคลองตลาด ซื้อดอกไม้ช่อใหญ่ เอามาให้สาวๆ ซึ่งสมัยนั้นก็ขำๆ ครับ รักในวัยเรียน โตขึ้นมาก็รู้สึกเฉยๆ ไปเองครับ (หรือเพราะไม่มีสาวๆ เหมือนก่อนก็ไม่รู้ 555)

ได้คุยกับเพื่อนบางคนครับ มันบอกว่าเซ็งวันนี้สุดๆ ตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอใครเลย ทุกคนออกไปข้างนอกกันหมด คงไปกับแฟน ผมก็บอกว่า อ้าว !! มึงก็ออกไปเดินเล่น ซื้อของ ดูหนัง เหมือนตามปกติที่มึงทำสิ ไม่เห็นแปลก มันบอก ไม่อยากออก ทุกวันเดินคนเดียวได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าวาเลนไทน์มันเขินบอกไม่ถูก

คนเราก็แปลกนะครับ สามร้อยกว่าวันในหนึ่งปี อยู่คนเดียวได้มาตลอด แต่กลับทำไม่ได้ในวันหนึ่ง ทำอย่างที่เคยทำไม่ได้ ไม่รู้เกิดมาจากความรู้สึกของตัวเองที่มองคนอื่นๆ หรือจากความรู้สึกของคนอื่นที่ตัวเองคิดว่าจะมองกลับมากันแน่

เคยคุยเล่นๆ กับเพื่อนที่เที่ยวกันบ่อยๆ ครับว่า ถ้ามีบ้านพักสวยๆ ต่างจังหวัด บรรยากาศดีๆ จะจัดโปรโมชั่นรับเฉพาะคนโสดมาเที่ยวกันวันวาเลนไทน์ครับ จะจัดทุกอย่างให้มันโคตรเศร้า ซ้ำเติมความรู้สึกแบบสุดๆ ไปเลยครับ

เพลงเศร้าที่ฟังแล้วน้ำตาไหล จับกลุ่มคุยเรื่องความรักที่ผ่านมาเหมือนในหนังที่ชอบมีกลุ่มสารภาพให้คนแปลกหน้าฟังเพื่อให้ผ่านเรื่องต่างๆ ไปให้ได้ มีวอดก้าให้ดื่มแบบเต็มที่กินแล้วปาแก้วทิ้งให้สบายใจ

ทำทุกอย่างที่อยากทำ ทำทุกอย่างที่ยังไม่ได้ทำ

ไม่ได้อยากให้เป็นรวมพลคนเหงานะครับ แต่ไม่อยากให้เสียเวลาไปหนึ่งวันเฉยๆ แล้วรู้สึกว่าวันวาเลนไทน์มันไม่ใช่วันของเรา

บางทีผมอาจตั้งวันที่ 15 กุมภา เป็นวันสำคัญอีกหนึ่งวันก็ได้ เพราะเชื่อว่าหลายๆ คน รอสารภาพรักกับคนที่ชอบในวันที่ 14 ไม่มากก็น้อย คงไม่ทุกคนที่สมหวังหรอกครับ

14 กุมภา วันวาเลนไทน์

15 กุมภา วันบาย บาย ความรัก ดีไหม?? :P

Big_120157171505 Valentine-2009-2

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำสอนดีๆ กับสูตรแห่งความสำเร็จ

 

บังเอิญได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์จากทั้งในเนต และสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ แล้วชอบคำสอนของ ขงจื๊อ ที่ว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน ครับ

ฟังแล้วอย่างหนึ่งก็รู้สึกว่า จะอย่างไรทุกคนก็ย่อมมีลิขิตจากฟ้าส่งมาติดตัวเราอยู่แล้ว อาจจะกำหนดโน่น นี้ นั้น ได้บ้าง แต่เราก็ไม่ควรทิ้งความพยายาม หรือจะพยายามทั้งทีก็ควรทำให้ถึงที่สุดครับ ผมเคยรู้สึกว่าลิขิตฟ้าอย่างหนึ่งก็คือพรสวรรค์ที่ทุกคนย่อมมีติดตัวซักหนึ่งอย่าง เคยรู้สึกว่าทำยังไงมานะยังไงก็สู้คนที่มีพรสรรค์สิ่งนั้นติดตัวอยู่ไม่ได้

ผมชอบศิลปะครับจึงเลือกเรียนทางสายนี้มาทั้งๆ ที่วาดรูปไม่ได้เรื่องเลย เคยต้องวาดภาพคนเหมือนครับ ศึกษาโครงสร้างกระดูก หัดแล้วหัดเล่า ก็ได้แต่เกรดดีด๊อกตัวโคตรใหญ่จากอาจารย์กลับมาอยู่เสมอไป

ใช้ความพยายามบวกกับความชอบครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ส่งงานไป กลับคืนมาเป็นเกรดซีครับ มีคำชมง่ายๆ สั้นๆ ว่า “ใช้ได้ ดีขึ้น”

โคตรปลื้มครับ ยังกะได้เกียรตินิยมเลย

ลิขิตฟ้าไม่ได้เป็นคนเขียนกลับมาครับ แต่เป็นอาจารย์เรานี่แหละที่เห็นความมานะ เพราะฉะนั้นก็แสดงว่ามีบางอย่างที่ลิขิตฟ้าก็ให้เราไม่ได้เหมือนกัน จงทำมันเถิด ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี

พอเห็นคำสอนนี้ ทำให้นึกถึงบทความที่เคยเห็นแล้วชอบจึงเก็บไว้เพื่อเป็นคำสอนตัวเองอยู่เสมอครับ มันเป็นสูตรแห่งความสำเร็จ (ไม่รู้ว่าใครคิดขึ้น ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)

สูตรสู่ความสำเร็จ
ถ้า A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z มีค่าเท่ากับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 2324 25 26 ตามลำดับ

แล้วจะพบว่า......

1) H+A+R+D+W+O+R+K = 8+1+18+4+23+15+18+11= 98%

HARD WORK หรือ ทำงานหนักมีค่าเท่ากับ 98 %
2)K+N+O+W+L+E+D+G+E=11+14+15+23+12+5+4+7+5= 96%
KNOWLEDGE หรือ ความรู้ มีค่าเท่ากับ 96 %
3) L+O+V+E=12+15+22+5= 54%
LOVE หรือ ความรัก มีค่าเท่ากับ 54 %
4) L+U+C+K = 12+21+3+11= 47%
LUCK หรือ โชค มีค่าเท่ากับ 47 %

ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า 100 % เลยหรือ !!! แล้วสิ่งใดที่มีค่าเท่ากับ100 %
- ใช่เงินหรือเปล่า ? .... .....ไม่ใช่ !!!!!
- ความเป็นผู้นำหรือเปล่า ?ไม่ใช่ !!!!!

แล้วอะไรล่ะ ?
A+T+T+I+T+U+D+E = 1+20+20+9+20+21+4+5 = 100%

ATTITUDE หรือทัศนคติ นั่นเอง ที่มีค่าเท่ากับ 100 %

เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีทัศนคติว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน

เมื่อคุณทำงานหนัก+ศึกษาหาความรู้+ความรักที่ได้มาแล้วนั้น ที่เหลือก็เป็นตัวแปรนอกการควบคุมครับ เดี๋ยวคำว่า “โชค” มันจะทำงานของมันเองครับ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แต่งงาน กับ งานแต่ง

วันเสาร์ที่ผ่านมา ไปร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งมันแต่งงานครับ มีทั้งพิธีแบบคริสต์ที่โบสถ์ และงานเลี้ยงแบบไทยๆ ตอนหัวค่ำ

ผมว่างานแต่งเป็นแหล่งพบปะที่ดีเวลาที่อยากจะเจอกับเพื่อนๆ เพราะจะมีทั้งเพื่อนสมัยประถม มัธยม ที่ทำงาน หรือเพื่อนเที่ยวทั่วไป ถ้าไม่ติดงานด่วนอะไรมากๆ ก็จะพยายามไปแทบทุกครั้งครับ

พอเวลาอายุมากขึ้น แต่งงานกันไปหมดแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการพบปะแบบโศกเศร้า เพราะจะมีวัดเป็นแหล่งสำคัญไปแทน

นานๆ จะมีโอกาสเห็นพิธีแบบคริสต์ครับ ดูสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ แถมอยู่ในโบสถ์อากาศเย็นๆ สบายดีครับ แต่ก็รู้สึกเขินๆ เหมือนกันเพราะทำอะไรไม่ค่อยถูก

ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งแบบไหน ผมว่าก็มีความสุขเป็นที่ตั้งเหมือนกันอยู่แล้ว ผมชอบเดินดูงานทั่วๆ ครับ ถ้ามีกล้องถ่ายภาพติดไปก็จะถ่ายรูปรายละเอียดสวยๆ เก็บไว้เสมอ

บางงานคู่รักก็จะทุ่มเททุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด จนบางครั้งก็แยกไม่ออกครับว่าอยากแต่งงาน หรืออยากจัดงานแต่ง เพราะบางทีเห็นเจ้าภาพบางงานก็เครียดกับงานมากไปจนลืมว่า วันนี้เป็นวันที่ต้องมีความสุขนะ ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงาน ผิดพลาดอะไรนิดหน่อยหรือดอกไม้เอียงไปองศาหนึ่งก็ช่างมันเถอะครับ แขกเค้ามาร่วมแสดงความยินดี ไม่ใช่กรรมการเดอะสตาร์มาวิจารณ์

รู้ไหมครับ ผมชอบช่วงไหนมากที่สุด ในงานแต่งงาน ???

เซ็นชื่อเข้างาน ถ่ายรูป นั่งกิน ฉากหอมแก้ม ตัดเค้ก

ไม่ใช่เลยครับ....

ผมชอบตอนจะแยกย้ายกลับ แล้วเพื่อนไม่ว่าจะเป็นเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวเดินมาส่งครับ

ผมไม่รู้นะครับว่าบ่าวสาวเค้าจะมีความรู้สึกอย่างไร (เพราะยังไม่เคยแต่ง) แต่ผมว่าไอ้การที่เรากอดหรือตบไหล่เพื่อนแล้วพูดกับมันว่า

“ยินดีด้วยเว้ยมึง”

ภาพบรรยากาศตอนที่เรารู้จักหรือเคยมีเหตุการณ์ที่เราได้ร่วมใช้ชีวิตกันมา มันจะสไลด์โชว์แบบออโต้ในหัวครับ

ช่วงเวลาแห่งความสุขก็จะอยู่กับเราซักประมาณชั่วโมง หรือสองชั่วโมงครับ ต่อจากนั้นเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเหมือนผม คือ พวกเพื่อนที่มาร่วมงานแต่ง ก็จะพาเหรดไปเที่ยวกันต่อเสมอ แล้วที่พลาดไม่ได้คือตอนชนแก้วกับประโยคแสนคลาสสิค

“ใครจะตกนรกเป็นรายต่อไปว่ะ”

.......55555 .......

 

s_023