วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หนังสือขายรถในฝัน

เคยมีอารมณ์อยากซื้อรถกันมั่งไหมครับ

เราก็ไม่มีเงินมากมายที่จะถอยป้ายแดงออกมาใช้ เลยซื้อหนังสือขายรถ หรือเข้าเวบดูเพื่อเป็นข้อมูลการตัดสินใจ

ดูแล้วก็อยากได้ไปหมดครับ เพราะรถที่ลงก็มีแต่ภาพสวยๆ มีนั่นนี่โน่น อะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด สีบาง ยางใหม่ ไม่เคยชน อะไรทำนองนี้

เข้าใจนะครับว่าการซื้อขายการโฆษณาสินค้าก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น….ไม่ว่ากัน

แต่ผมเคยคิดเล่นๆ ครับว่าน่าจะมีหนังสือขายรถที่ออกมาบอกข้อเสียของรถบ้าง

อย่างเช่น

คันนี้กระจกไฟฟ้าเสียราคาซ่อมประมาณเท่านี้

เคยถอยชนเสามาแล้ว เสียหายขนาดไหน

ไดชาร์จใกล้ถึงเวลาต้องเปลี่ยน ราคาที่ศูนย์กับหามาเปลี่ยนเองแตกต่างกันเท่าไหร่

หรือเวลาฝนตกมีน้ำซึมเข้าตรงพื้นนะ

ฯลฯ

ผมยกตัวอย่างคร่าวๆ ประมาณนึงเท่านั้นนะครับ บางทีรถอาจสมบูรณ์อยู่แล้วก็ได้

แต่ประเด็นที่ผมอยากได้ก็คือ ข้อดีและสมรรถภาพของรถผมสามารถพอหาเองได้ครับ หรือถ้าไม่รู้แล้วมารู้ตอนหลัง ผมถือว่าเป็นของแถมที่ทำให้รู้สึกดีแน่นอนครับ

แต่ไอ้ข้อเสียนี่สิครับ ถ้าเราไม่รู้มาตั้งแต่ต้นไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดก็ตาม รู้ทีหลังมันบั่นทอนจิตใจอย่างแรงครับ

ผมจึงอยากทำหนังสือที่เปิดมาอ่านแล้วบอกข้อเสียหรืออาจเป็นข้อบกพร่องเล็กน้อยของรถครับ ผมจะได้รู้ว่ามีอะไรที่ต้องจัดการเพิ่มบ้าง ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายอีกเท่าไหร่ที่จะทำให้รถที่ผมกำลังจะซื้อมันสมบูรณ์

ซึ่งถ้าเราสามารถรับตรงนี้ได้ ผมว่ามันจะช่วยให้ประโยคที่หลายๆ คนเคยซื้อรถแล้วบ่นว่า

“แม่งตอนซื้อไม่บอกกูซักคำ กลัวว่าจะขายไม่ออกอย่างเดียว” หายไปบ้างครับ

แต่ตอนนี้ผมใช้รถที่ทำให้ผมมีความสุขกับมันอยู่ครับ

แถมเจ้าของที่ขายให้ก็เป็นเจ้าของที่ดี ดูแลรถอย่างดี และบอกข้อมูลให้ทุกอย่างครับ

ซ่อมจุกจิกตามเวลา...ดีกว่าเสียเวลาหาสาเหตุครับ 555

tarcar 001_resize

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สัญญาณบอกใบ้จากภาพที่เห็น (Visual cue)

มีเวลาว่างเลยหยิบหนังสือที่วางแช่บนชั้นมานาน เอามาอ่านเล่นครับ ไปเจอเรื่องที่น่าสนใจเข้า ดังที่ขึ้นหัวไว้ครับ

เจ้าม้าแสนรู้ชื่อเจ้าฮันส์ คิดเลขได้อย่างแม่นยำ สามารถเคาะกีบเท้าหน้าตอบโจทย์เลขได้อย่างถูกต้อง เช่น เมื่อเจ้าของถามว่า 3+4 เท่ากับเท่าไหร่ เจ้าฮันส์ ก็จะเคาะกีบเท้าไปเจ็ดครั้งจึงจะหยุด

ชื่อเสียงของเจ้าฮันส์โด่งดังขึ้น จนนักปรัชญาและนักจิตวิทยาจัดตั้งกลุ่มขึ้นเพื่อศึกษาหาคำตอบกับความแสนรู้นี้

ไม่ว่าจะทดสอบอย่างไร เปลี่ยนวิธีการทดสอบแบบไหนเจ้าฮันส์ก็ยังตอบถูกได้อย่างน่าทึ่ง

จนกระทั่ง.....มีวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ้าฮันส์ตอบผิด

วิธีการนั้นคือ เมื่อไหร่ที่ถามและคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเจ้าฮันส์นั้นไม่รู้คำตอบ เจ้าฮันส์ก็จะตอบผิด

สมมติฐานแบบไม่ฟันธงอย่างแน่ชัดได้กล่าวไว้ว่า

เจ้าฮันส์ไม่ได้คิดเลข แต่ความสามารถของมันอยู่ตรงที่ว่า มันสามารถจับภาษาท่าทางของคนที่รู้คำตอบได้ต่างหาก กล่าวคือ เมื่อถามว่า 3+4 เป็นเท่าไหร่ เจ้าฮันส์ก็จะเคาะกีบเท้าไปเรื่อยๆ จนกว่าคนที่มันเห็นจะแสดงความโล่งอก หรืออาการอื่นๆ ที่บ่งบอกว่าตอบถูกแล้ว

เช่น การพยักหน้าน้อยๆ หรือคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ออก เป็นต้น ซึ่งบางครั้งเป็นอาการที่คนแสดงออกแบบไม่รู้ตัว

ฟังดูแล้วรู้สึกเหลือเชื่อนะครับไม่รู้ว่าจะทำได้จริงรึเปล่า

ถ้าทำได้.....เจ้าฮันส์ นายแน่มาก

อ่านเสร็จแล้วนึกถึงคนๆ หนึ่งครับ พี่โต้ง พี่ร่วมดื่มที่เคารพ

พี่โต้งสอนวิธีการจีบหญิงแบบเจ้าฮันส์ครับ

ฮั่นแน่.. ไม่ใช่เอากีบไปเคาะสาวนะครับ แต่เป็นสัญญาณบอกใบ้จากภาพที่เห็น

ผมเคยใช้วิธีจีบไปมั่ว คุยให้เยอะ พี่โต้งบอกสั้นๆ ว่า มึงใช้แหจับปลาอยู่รึไง ถ้ายังใช้วิธีนี้อยู่มึงก็จะได้ปริมาณ ไม่มีคุณภาพ เพราะมึงก็อยู่ในแหเค้าเหมือนกัน โห โดนครับ แต่ก็คิดแย้งอยู่ในใจ ไม่ทำแบบนี้ผมก็อดตายสิครับพี่โต้งคร้าบ

พี่โต้งบอกเคล็บลับง่ายๆ แต่ทำยาก นั่นคือ นิ่งๆ สังเกตคนที่คุยด้วยว่าคนไหนแสดงลักษณะโล่งอกขึ้นมา ใช้ความสามารถเหมือนอย่างที่เจ้าฮันส์ทำ

ถ้าสังเกตเห็นได้เมื่อไหร่ เดินหน้าลุย ไม่พลาด ดีกว่าเหวี่ยงแหสิบคน จับได้แต่กินไม่ได้ซักที

พี่โต้งทิ้งท้ายบอก เลือกเอามึงจะวิ่งไล่จับปลา หรือนั่งบนโต๊ะแล้วมาเสริฟถึงที่ เปลืองสมองไม่เปลืองแรง โดนอีกแล้วครับท่าน

ตั้งแต่นั่นมาพี่โต้งกับเจ้าฮันส์ เปรียบเสมือนสุดยอดอาจารย์

วิชาสัญญาณบอกใบ้จากภาพที่เห็น ใครสนใจลองเอาไปใช้ดูก็ได้นะครับ

ผมลองแล้ว แต่ศักยภาพคงยังมีไม่ถึงพี่โต้งหรือเจ้าฮันส์

ตอนนี้เลยต้องใช้วิธีมิกแอนแมทครับ

 

นิ่ง....นิ่ง....คุย....คุย....สังเกต....สังเกต

ถ้าไม่มีสัญญาณบ่งบอก

แหในมือเหวี่ยงเลยครับท่าน 555

 

layout

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เอ ผู้โชคดี

 

เอ หนุ่มวัยรุ่นเรียนมหาวิทยาลัย เอไม่หล่อ ไม่รวย แต่เป็นคนมีเสน่ห์ ใครได้พูดคุยด้วยมักหลงปลื้มเสมอ

เอหลงปลื้มดาวเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคนน่ารักนิสัยดี แต่ดาวก็ไม่เคยตกลงเป็นแฟนกับใคร แม้จะมีหนุ่มมาจีบมากมาย

เอพยายามทำทุกอย่างเพื่อพิชิตใจของดาวให้ได้ ดาวทำให้ผู้หญิงรอบตัวของเอกลายเป็นแค่คนเดินผ่านสวนทางกันไปมา ไม่มีความหมายความสำคัญใดๆ

ช่วงเวลาแห่งความพยายามของเอ ไม่ว่าจะนานเท่าไร

พลอยคือคนๆเดียวที่อยู่เคียงข้าง

เอคือทุกอย่างของพลอย แต่พลอยก็แค่ที่รองรับอารมณ์ของเอเท่านั้น

เอทุ่มเททุกอย่างให้ดาว

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พลอยก็มีค่าแค่การเป็นคู่นอนของเอเท่านั้น

เหงา เศร้า เมา เมื่อมีอาการเหล่านี้ พลอยคือคนที่เอคิดถึง

จนจบการศึกษา

ดาวก็ไม่เคยคบกับใคร

ความพยายามของเอ ไม่อาจทำให้เกิดอะไรเปลี่ยนแปลง

ก่อนจบการศึกษาพลอยได้พูดประโยคหนึ่งกับเอ

อาจดูคล้ายๆ หนังเรื่องเพื่อนสนิทไปบ้าง ไม่ว่ากันเนอะ

ทุกคนเข้าสู่วัยทำงาน ไม่ได้เจอะเจอกันอีก

เอไม่เคยจีบหรือคบใครตั้งแต่นั้นมา

หลายคนคงเข้าใจคำว่า “รักคนที่เค้ารักเรา ดีกว่าคนที่เรารัก”

พลอยทำให้เอเข้าใจ แต่แตกต่างไปจากคนอื่น

นอกจากคนที่เค้ารักเรากับคนที่เรารัก ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ

คุณรู้จักความรักแล้วรึยัง

หลายคนบอกว่า เวลารักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล แต่เวลาเลิกมักมีเหตุผลโน่นนี่นั่นเสมอไป

พลอยทำให้เอเปลี่ยน

การหาเหตุผลก่อนที่จะเริ่มรัก นั่นคือสิ่งที่เอตามหา

เค้าเปลี่ยนไปใส่ใจกับความรักมากขึ้นเพราะคำพูดคำเดียวที่มาจากคนที่เค้ามองว่าไม่มีค่าอะไรมากเกินกว่าการเป็นแค่คู่นอน

 

“เราคบกันได้มั้ย”

 

มีใครเคยถามแบบนี้กับคุณบ้างไหม

เอาเป็นคนที่คุณไม่เคยเห็นคุณค่า

ผมเชื่อว่าคุณจะเข้าใจความรู้สึกของเอครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฟุตบอล ซี (เรียส) เกมส์

จบไปกับการเป็นเจ้าเหรียญทองครับ ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 25

แต่คอบอลคงเศร้าไปตามๆ กัน เพราะทีมฟุตบอลชาติไทยตกรอบแรก แพ้มาเลเซียไป 2-1

ผมแทบไม่ได้ดูการถ่ายทอดสดครับ เพราะติดภารกิจหลายอย่าง มีโอกาสดูสรุปผลบ้าง เพราะในใจก็ยังเชื่อว่าเดี๋ยวคงได้ดูรอบลึกๆ

มีสายจากเพื่อนโทรมาบอกไทยแพ้มาเลตกรอบ ผมรีบบอกว่ามึงอย่ามาอำ ตลกป่ะเนี่ย

เพื่อนยืนยันด้วยเสียงเศร้ากว่าตอนอกหัก “โดนยิงช่วงท้ายเกม แพ้ 2-1”

แล้วรูปเกมเป็นไงบ้าง ถามในฐานะคนเล่นบอลและเชียร์บอลในสายเลือด ย่อมเข้าใจว่าเรื่องแพ้ชนะมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอให้รูปเกมดีและทุ่มเทไว้ก่อน

เหมือนลิเวอเลยว่ะ

เป็นอันเข้าใจกันดี นี่คือคำตอบของคนที่เชียร์ทีมไทย และทีมลิเวอพูล

ตัวผมก็เด็กหงส์ครับ

ไม่รู้เรื่องจริงเป็นไง แต่ตอนนี้ในหัวผมเห็นภาพของทีมที่ยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ตอนนี้เล่นแบบขาดแรงจูงใจและความทุ่มเท จนสะกดคำว่าความเชื่อมั่นไม่ถูก

เมื่อมีเวลาจึงนั่งสุมหัว และบ่นไปตามความคิดของแต่ละคน

“เล่นกันไม่เต็มที่เต็มเวลา”

“ต่างคนต่างเล่น”

“ติดแอ๊ก เล่นคนเดียว”

“ไม่ประกบตัว ปล่อยให้เค้าเลี้ยงสบาย”

“ตั้งรับมากไป”

“ใช้โอกาสเปลือง”

“ผู้คุมแก้เกมไม่เป็น”

ฯลฯ

มีอีกร้อยแปดเหตุผลครับที่จะพูดถึง แต่ที่ฟังมาทั้งหมดอยากจะกล่าวถึง 2 ประเด็นครับ

เรื่องโค้ช

เพื่อนบางคนบอกว่าเปลี่ยนเถอะ ไม่แตกต่าง ใช่โค้ชเก่งๆ บ้านเราเองก็ได้

อีกคนก็แย้งมาว่า ก็ไอ้คนเก่งๆ ก็ไม่ถูกกับสมาคมอีก

ปวดหัวครับปวดหัว

ถ้าจะเอาโค้ชต่างชาติ เอาดีๆ เอาที่คุมทีมแล้วมีผลงานติดตัวมาแล้ว อย่าเสี่ยงกันหลายรอบ เปลืองงบเปลืองกำลังใจ

ที่กล่าวมาผมคิดว่าโค้ชทุกท่านนั้นก็เก่งและมีดีอยู่ในตัวทุกคนครับ เพียงแต่อยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้นเอง

เรื่องนักเตะ

ผมเชื่อว่าเวลาลงไปเล่นทุกคนเต็มที่ครับ แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือทัศนคติของผู้เล่น

สมัยวัยรุ่นผมมีโอกาสเล่นบอลบ่อยๆ ไปช่วยคนโน่นบ้าง คนนี้บ้าง ฝีเท้าพอไปวัดไปวาได้ว่างั้น

พอเราเล่นบ่อยๆ มีคนชมมากขึ้น จะรู้สึกเหริงและเก๋าจนบอกไม่ถูก ทีมจะแพ้กูไม่รู้ มีคนชมเราก็พอ

ความรู้สึกจะแตกต่างกันนิดเดียว เราจะพยายามเล่นทุ่มเทอย่างมากแต่เพื่อตัวเอง

ไม่ใช่เพื่อทีม

ลีกฟุตบอลไทยกำลังพัฒนา และไปในทิศทางที่ดี ไม่อยากให้ต้องสะดุดครับ

อยากให้ผู้ดูแลปรับความคิดให้ทุกคนวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน เรื่องฝีเท้าผมเชื่อว่าคนไทยไม่แพ้ใครครับ ที่แพ้คือเรารวมเป็นหนึ่งไม่ได้เท่านั้น

ผมขอข้ามเรื่องลิเวอไปก่อนนะครับ

ล่าสุดรู้สึกโดนไปสอง แพ้อีกนัด เหนื่อยครับเหนื่อย

 

มีคนเคยแซวว่าอย่าชวนพวกบ้าบอลไปเที่ยว

เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากแข่งชนะจนได้ถ้วยเคยมีคนชวนไปฉลองกันที่ผับ

พอไปถึงหน้าร้านเจอน้องที่เป็นกัปตันทีมยืนอยู่เลยถามว่า มายืนรอทำไม เข้าไปนั่งข้างในสิ

น้องหันมาบอกว่า ยังเข้าไปไม่ได้ครับพี่ ยังมาไม่ครบ

“ไม่ครบอะไรว่ะ”

ก็หน้าร้านเค้าติดป้ายไว้ว่า ต่ำกว่า 18 ห้ามเข้า

เลยโทรตามเพื่อนนักบอลที่เหลืออยู่ครับ

เฮ้อ...กูล่ะเซ็ง

Thailand_ball

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เบรคแตก....แยกทาง

“ขึ้นรถได้แล้ว จะออกแล้ว” นายวัน ผู้มีประสบการณ์การเดินทางมากที่สุดตะโกนบอกเพื่อน

หลังจากจับจองที่นั่งได้ทุกคนก็ปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงวูดที่ดังขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการเดินทางแห่งความสุขได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ฉึกฉัก ฉึกฉัก ฉึกฉัก เสียงดังก้องในหัว พร้อมกับยื่นหน้าไปสูดอากาศสดชื่นของทุ่งหญ้าสองข้างทาง

ตุ้ยนุ้ย หญิงร่างน่าฟัดที่ใช้บริการรถไฟเป็นประจำ คอยบริการอาหารการกินให้กับพองเพื่อน

ฟรุตกับจ๊ะเอ๋ สองสาวคู่ซี้ นั่งคุยอย่างมีความสุขกับการโดยสารรถไฟครั้งแรก

หนุ่มๆ ที่เหลือเพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูป ตามประสาคนบ้ากล้อง

คนขายของกระโดดขึ้นรถระหว่างทาง พร้อมไก่ย่าง ข้าวกล่อง น้ำกระป๋องตามลำดับ

กว่าจะถึงจุดมุ่งหมายปลายทางที่น้ำตก รถไฟได้ผ่านสถานที่ต่างๆ สร้างประสบการณ์ความประทับใจมากมาย

นักท่องเที่ยวโบกี้ที่หนึ่งชะโงกดูหมอนรองรางรถไฟ ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง

ความเร็วระดับห้ากิโลเมตรต่อชั่วโมงบนเส้นทางวิ่งผ่านเหว ทำให้หัวใจบางคนสูบฉีดอย่างรวดเร็วหรือแทบหยุดเต้นก็ไม่อาจรู้ แต่ที่แน่ๆ เมมโมรี่ในกล้องถูกใช้ไปเกือบหมด

ฉึกฉัก ฉึกฉัก ฉึกฉัก เสียงไม่เพราะเท่าตอนบี้ร้องเพลง แต่ทำไมยิ่งฟังยิ่งมีความสุข ฉึกฉัก ฉึกฉัก ฉึกฉัก

รถไฟฉลอความเร็วพร้อมกับเทียบสถานีปลายทางอย่างช้าๆ ผู้คนยืนรอตรงทางออกใจจดใจจ่อกับน้ำตกที่เย็นช่ำ

วันกับปอ เร็วกว่าใครเพื่อนตามประสาวัยรุ่น ลงจากรถแล้วตะโกนเรียกเพื่อนๆ จากด้านล่างให้รีบลงมาได้แล้ว

เพื่อนที่เหลือไม่รอช้ารีบเก็บสัมภาระทันที

กึก กึก เสียงเล็กๆ ดังอย่างเบาๆ ดังเข้ามาดั่งเสียงกระซิบข้างหู

รถไฟค่อยๆ เคลื่อนที่ แต่ที่แปลกคือมันไม่ได้ไปข้างหน้า และที่แปลกกว่าคือมันวิ่งแบบลืมหัว

หัว ในที่นี้หมายถึง หัวจักร

หัวจักร ในที่นี้หมายถึง ส่วนที่ควบคุมรถไฟ

วันกับปอ มองกลุ่มเพื่อนที่ยังอยู่บนรถไฟอย่างสงสัยจนลับตาไป

ฟรุต จ๊ะเอ๋ ตุ้ยนุ้ย สามสาวหันมาถามเพื่อนหนุ่มๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไม่ได้ลงเลย

“คงถอยไปจอดที่ใกล้ๆ มั่ง” พี่ปี พี่ใหญ่ของน้องๆ ตอบให้สบายใจ

รถไฟวิ่งย้อนลงมาเรื่อยๆ แต่ความเร็วมันไม่เป็นแบบเรื่อยๆ

โค้งแล้วโค้งเล่า เริ่มรู้สึกเหมือนขับรถไม่แตะเบรค

ผู้คนที่ยืนรอลงตรงประตูเริ่มถอยกลับมานั่งที่ ทุกคนทั้ง 6 โบกี้ เริ่มมองตากันส่งข้อความถึงกันโดยไม่ต้องรอระบบสามจี ว่า “เกิดอะไรขึ้นว่ะเนี่ย”

“รถไฟหลุดจากที่จอดและไหลย้อนลงมาเหมือนปล่อยของลงจากที่สูง สร้างความเร็วระดับร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่งโมง” ผู้ชายวัยกลางคนอุ้มลูกๆ ไว้แน่นกรุณาให้ความรู้แก่ผู้ตั้งคำถาม

เต็มกับระ สองหนุ่มวางกล้องโดยฉับพลันพร้อมยิงคำถามทันที

“แล้วทำไงต่อครับพี่”

“ถ้ารถชะลอความเร็วลงบ้าง โดดได้ต้องโดด ไม่งั้นไปถึงเหวเมื่อไหร่ !!!ฉิบหายแน่??”

เต็มกับระสองหนุ่มได้ฟังคำตอบ ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี นี่แม่งเรื่องจริงเหรอว่ะยังกับในหนัง

ฟรุต จ๊ะเอ๋ ตุ้ยนุ้ย นั่งเกาะที่นั่งไว้แน่น ความเร็วและโค้งทำให้ของเทกระจาดเกลื่อนกลาด

เต็ม รู้ว่ามันเป็นนาทีวิกฤต แต่ต้องมีสติ จึงเดินไปบอกเพื่อนสาว “ไม่ต้องตกใจนะ จับที่นั่งไว้ดีๆ”

ฟรุต จ๊ะเอ๋ ตุ้ยนุ้ย สบายใจขึ้นมาก

“มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ถ้าโดดลงได้โดดนะ” ประโยคต่อมาของเต็มแทบทำให้ทั้งสามสาวเป็นลม เพราะนี่มันถึงตายเลยนะ

ยังไม่พอ ทันทีที่พูดเสร็จ เต็มล้วงพระที่ห้อยคออยู่ ขึ้นมาเหนือหัวไหว้อย่างจริงจัง ทุกบทสวดที่จำได้

อวัจจนภาษาที่ร่ำเรียนมามันหมายถึงอย่างนี่นี้เอง ไม่ต้องพูด ดูท่าอย่างเดียวเยี่ยวก็แตกแล้ว

ระเดินมาดูที่ปลายโบกี้พร้อมรอเวลาโดด ฟรุต จ๊ะเอ๋ ตุ้ยนุ้ย มองอย่างใจจดใจจ่อ ถ้าเพื่อนโดดกูก็โดด

ทันใดนั้นเหมือนมีความหวังสุดท้ายเปล่งแสงออกมา เจ้าหน้าที่รถไฟวิ่งมาพร้อมกับคนขายของ

ทุกคนสบายใจเหมือนตอนเอ็นติดมหาลัย

“ดึงโซ่ ดึงโซ่” นายรถไฟตะโกนบอกผู้โดยสาร

พี่ปีสร้างความเป็นหนึ่งเดียวตะโกนบอกน้องๆ “เอ้า หนึ่ง สอง สาม ดึง”

ความเร็วรถไฟไม่เปลี่ยนแปลง หรือเกิดสิ่งใดขึ้นให้มีความหวังว่ามันอยากจะหยุด

แต่ทุกคนพบว่าโซ่ที่ช่วยกันดึงกลับหลุดขาดคามือ เวรกรรมครับเวรกรรม

เจ้าหน้าที่รถไฟวิ่งไประหว่างโบกี้ก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่าง เต็มวิ่งตามไปช่วยด้วยความดีใจ

เจ้าหน้าที่ดึงคันโยกลักษณะเหมือนเบรกมือในรถยนต์ มีเสียงเกิดขึ้นดัง ฟู่ ฟู่ ฟู่

“ดึงเบรกได้แล้วใช่มั้ยครับพี่ รถเบรกแล้วพวกเรา” เต็มตะโกนด้วยความดีใจสุดขีด

ฉึกฉัก ฉึกฉัก ฉึกฉัก เสียงที่เคยไพเราะ กลับเป็นเสียงที่ทุกคนหวาดกลัว และไม่มีท่าทีว่าจะเงียบลง

เจ้าหน้าที่รถไฟรีบวิ่งไปอีกโบกี้ เต็มเริ่มงง “ทำไมมันไม่หยุดล่ะพี่”

“เบรคแตก” สองคำสั้นๆ ทำทุกอย่างเงียบสนิท

ระมองไปรอบๆ สิ่งที่เห็นมันเป็นความฝันรึเปล่า

พ่ออุ้มลูกแน่นพร้อมกระโดดปกป้องแก้วตาดวงใจ

แม่วัยกลางคนลูบหัวลูกน้อยพร้อมน้ำตาที่ไหลอย่างหวาดกลัว

คุณยายนั่งลงกับพื้นรถไฟเพราะทนแรงเหวี่ยงไม่ไหว สวดมนต์กับพระที่ติดตัว

หนุ่มน้อยโทรศัพท์บอกครอบครัวที่รัก กล่าวลาเหมือนในหนัง

ทำให้เข้าใจเลยว่าคำว่า “รัก” มันมีความหมายเพียงใด

ระ เต็ม พี่ปี ฟรุต จ๊ะเอ๋ ตุ้ยนุ้ย มองตากันนิ่งเงียบ เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าถ้าโดดลงไปจะเป็นอย่างไร

ทุกอย่างนิ่งเงียบ มีแต่เสียง ฉึกฉัก ฉึกฉัก ฉึกฉัก ดังสนั่น

………………………..

ณ สถานีหนึ่ง ผู้คนนับร้อยนุ่งขาวห่มขาว ใช้วันนี้ที่เป็นวันพระใหญ่ นั่งสมาธิ และสวดมนต์

มีรถไฟหกโบกี้วิ่งถอยหลังมาจอดอย่างเงียบสงบ ไร้เงาของหัวจักร

ผู้ปฎิบัติธรรมซึ่งไม่รู้เรื่องรู้สึกซาบซึ้ง ตื้นตันใจยิ่งนัก คงนึกว่าถอยหลังมาร่วมปฎิบัติธรรม

ผู้คนตะเกียกตะกายออกจากรถไฟ กระโดดลงทางหน้าต่างบ้าง ก้าวตกพงหญ้าบ้าง ขอแค่ให้มีชีวิตอยู่บนพื้นดินที่ไม่วิ่งพาเราไปไหน

ระ เต็ม พี่ปี ฟรุต จ๊ะเอ๋ ตุ้ยนุ้ย ลงจากรถอย่างปลอดภัย รอยช้ำที่เกิดจากการกระแทกบนรถไฟกลายเป็นแผลน้อยนิดยิ่งกว่ามดกัด

วันกับปอ โทรมาสอบถามทันควัน และโล่งใจที่ไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกับเพื่อนๆ

ความชุลมุนเกิดขึ้นพร้อมกับความโกรธของผู้คน เจ้าหน้าที่รีบตามมาอธิบายและปรับความเข้าใจ สามารถแก้ไขได้ส่วนหนึ่ง

แต่บางคนสาบานเลยว่าไม่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะเกิดจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานหรือเกิดจากระบบของอุปกรณ์ ชีวิตของเค้าจะไม่ฝากไว้กับการเดินทางสุดแสนคลาสิคนี้อีกแล้ว

รถไฟจอดได้อย่างไร ยังคงเป็นคำถามอยู่ในใจของ ระ เต็ม พี่ปี ฟรุต จ๊ะเอ๋ ตุ้ยนุ้ย รวมถึงวันกับปอ

โซ่ที่ช่วยกันดึงจนขาด เบรคที่เจ้าหน้าที่ดึง คำสวดมนต์จากทุกชีวิต หรือเกิดปาฎิหาริย์

ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลใด สิ่งสำคัญที่สอนทุกคนในครั้งนี้คือ

สิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตไม่ว่าจะเริ่มแรกหรือท้ายสุดของเวลา

นั่นคือ ความรัก นั่นเอง

 

* แต่ถ้ามีเรื่องเซ็กส์ปนอีกนิดล่ะก็ แจ่มเลย *

 

jsd-002